คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2866/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาต่อศาลชั้นต้นในเหตุฉุกเฉิน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาต จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในเหตุฉุกเฉินนั้น ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งเดิม จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับให้ยกคำร้อง อันมีผลเป็นการยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในเหตุฉุกเฉินของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยกเลิกการแต่งตั้งจำเลยที่ 3 จากการเป็นผู้แทนจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดกระบี่ และห้ามแต่งตั้งบุคคลอื่นใดเป็นผู้แทนจำหน่ายในเขตพื้นที่จังหวัดกระบี่อีกต่อไป ห้ามมิให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่งมอบรถยนต์ อะไหล่รถยนต์ สินค้า ผลิตภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3 หรือบุคคลอื่นใดจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดกระบี่อีกต่อไป แต่ส่งมอบให้โจทก์จำหน่ายในพื้นที่จังหวัดกระบี่เพียงผู้เดียวตามสัญญาตลอดไป ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ส่งมอบรถยนต์และผลิตภัณฑ์ให้โจทก์จำหน่ายตามสัญญาเดือนละ 2,500,000 บาท ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ในการให้บริการลูกค้า เดือนละ 2,000,000 บาท และค่าปรับจากการละเมิดสำหรับรถยนต์ที่จำเลยที่ 3 จำหน่ายในพื้นที่จังหวัดกระบี่นับแต่เดือนมีนาคม 2546 เป็นต้นไปคิดถึงวันฟ้องรวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 39,820,000 บาท และดอกเบี้ยในค่าเสียหายดังกล่าวอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ พร้อมกับยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในเหตุฉุกเฉิน โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์จำหน่ายภายในวันที่ 11 กันยายน 2546 และตลอดไปจนกว่าคดีถึงที่สุด หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่งมอบรถยนต์ให้จำเลยที่ 3 จำหน่ายแล้ว ให้จำเลยที่ 3 ส่งมอบค่าปรับในการจำหน่ายรถยนต์คันละ 70,000 บาท ตามจำนวนที่จำหน่ายได้มาวางศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ร่วมกันส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้แก่โจทก์ตามสัญญา ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในระยะเวลาตามสมควรจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในเหตุฉุกเฉิน
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งเดิม โดยให้โจทก์นำเงินสดหรือหลักประกันที่เทียบเท่าเงินสดมาวางต่อศาลให้ครบจำนวนราคารถยนต์ที่โจทก์จะสั่งซื้อจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์ ณ ที่ทำการของโจทก์ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่ได้รับคำสั่งซื้อจากโจทก์ เมื่อโจทก์ได้รับรถยนต์แล้วจึงให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับเงินจากศาล
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาต่อศาลชั้นต้นในเหตุฉุกเฉิน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในเหตุฉุกเฉินนั้น ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งเดิม จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับให้ยกคำร้องของโจทก์ อันมีผลเป็นการยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในเหตุฉุกเฉินของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์มาเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้น และค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share