คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เทวรูปหินอ่อนรูปนารายณ์สี่กร เป็นของโบราณราคาแพง ฝังอยู่ใต้ดินบริเวณปราสาทโบราณ เป็นโบราณวัตถุและศิลปวัตถุจำเลยขุดได้และเบียดบังเอาเสีย จึงผิดพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ พ.ศ.2504 มาตรา 31
แต่เทวรูปนั้นไม่มีคุณค่าเป็นพิเศษ จึงไม่ใช่สังหาริมทรัพย์อันมีค่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 355
จำเลยขายเทวรูปนั้นไป เพียงเท่านี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการทำการค้าโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุตามพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ พ.ศ.2504 มาตรา 19
เทวรูปนี้เป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 24 แล้ว ศาลจึงไม่ต้องสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 อีก(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 4ขุดดินที่ปราสาทเซ็มพบเทวรูปอันเป็นโบราณวัตถุและศิลปวัตถุกับเป็นสังหาริมทรัพย์ที่มีค่าซึ่งฝังไว้โดยพฤติการณ์ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถอ้างว่าเป็นเจ้าของได้แล้วเบียดบังยักยอกเอาเทวรูปนั้นเป็นของตน และร่วมกันจำหน่ายเทวรูปนั้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 355, 33 พระราชบัญญัติโบราณสถานโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 19, 24, 31 และ 37 กับขอให้ริบเทวรูปของกลาง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 355 แต่ให้ยกคำขอให้ริบเทวรูปของกลางเสีย เพราะตามกฎหมายเทวรูปนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของแผ่นดินอยู่แล้ว

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามฟ้อง และให้ริบของกลางจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องและคืนของกลาง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง และให้คืนเทวรูปของกลาง

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามฟ้อง

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 4 ได้ขุดปราสาทเซ็ม พบเทวรูปหินอ่อนสีอับ ๆ รูปนารายณ์สี่กรสวมชะฎา มือข้างซ้ายทั้งสองถือหอยและแท่งคัมภีร์มือข้างขวาทั้งสองกำพวงมาลัยและดอกบัวเป็นเทวรูปโบราณราคาแพงซึ่งซ่อนหรือฝังไว้โดยพฤติการณ์ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถอ้างว่าเป็นเจ้าของได้ และจำเลยทั้งสองได้เบียดบังเอาเทวรูปนี้เป็นประโยชน์ของตนแล้วนำไปขายให้จำเลยที่ 1 ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า เทวรูปนี้เป็นโบราณวัตถุและศิลปวัตถุตามพระราชบัญญัติโบราณสถานฯลฯ พ.ศ. 2504 มาตรา 4 และจำเลยทั้งสองมีผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 24 และ 31 แต่เทวรูปไม่มีคุณค่าเป็นพิเศษจึงถือไม่ได้ว่าเป็นสังหาริมทรัพย์อันมีค่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 355

ส่วนเรื่องสั่งริบของกลาง ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่าของกลางนี้ตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน ฯลฯ พ.ศ. 2504 มาตรา 24 โดยเฉพาะแล้ว ศาลไม่ต้องสั่งริบตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 อีก

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยทั้งสองเอาเทวรูปไปขายนั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการทำการค้าโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ ตามนัยพระราชบัญญัติโบราณสถาน ฯลฯ พ.ศ. 2504 มาตรา 19

พิพากษาแก้ ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้คืนของกลางให้จำเลยที่ 1 กับให้ลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 4 ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน ฯลฯ พ.ศ. 2504 มาตรา 24, 31

Share