คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่จำเลยเกิดเรื่องกับผู้เสียหายในเวลาประชุม ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยโกรธแค้น จำเลยออกจากที่ประชุมแล้วการประชุมยังมีต่อไป จนภายหลังเลิกการประชุมและผู้คนมาประชุมกลับไปเกือบหมดแล้ว จำเลยจึงมาทำร้ายผู้เสียหาย ซึ่งการทำขั้นนี้มิได้เกิดจากโทสะพลุ่งขึ้นเฉพาะหน้าแล้วทำร้าย แต่เป็นกรณีเกิดโทสะแล้วไปเกิดความคิดที่จะทำร้ายเขาในภายหลัง และเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยจะต้องคิดไตร่ตรองตัดสินใจอย่างหนักในการตกลงใจกระทำผิด ในกรณีนี้การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนายปรีชา ลีลาโคตร์โดยเจตนาฆ่าให้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่มีผู้อื่นมาขัดขวางจำเลยจึงฆ่านายปรีชาไม่ได้ เพียงแต่ทำร้ายนายปรีชาบาดเจ็บสาหัสประกอบด้วยทุกขเวทนากล้า ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติเกินกว่า 20 วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 80, 297 และริบมีดของกลาง

จำเลยให้การว่า ได้ทำร้ายนายปรีชาจริง แต่ไม่มีเจตนาฆ่าหรือไตร่ตรองไว้ก่อนหรือพยายามฆ่า สาเหตุเนื่องจากจำเลยบันดาลโทสะโดยถูกนายปรีชาข่มเหงอย่างร้ายแรงในขณะจำเลยเป็นภิกษุอยู่ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม

ศาลอาญาพิจารณาแล้วฟังได้ว่า จำเลยพยายามฆ่านายปรีชาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 ประกอบด้วยมาตรา 80 วางโทษจำคุก 16 ปี ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยไว้ 8 ปี มีดของกลางริบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่พอที่จะชี้ว่าจำเลยมีเจตนาจะฆ่า คงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานทำร้ายร่างกายถึงสาหัสจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) วางโทษจำคุก 5 ปี ลดรับตามมาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเกิดเรื่องกับนายปรีชาในเวลาประชุมซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยโกรธแค้นนายปรีชา จำเลยออกจากที่ประชุมไปแล้ว การประชุมก็ยังมีต่อไปจนภายหลังเลิกการประชุมและผู้คนที่มาประชุมกลับไปเกือบหมดแล้ว จำเลยจึงมาทำร้ายนายปรีชาศาลฎีกาเห็นว่า การทำร้ายมิได้เกิดจากโทสะพลุ่งขึ้นเฉพาะหน้าแล้วทำร้าย แต่เป็นกรณีที่เกิดโทสะแล้วไปเกิดความคิดไตร่ตรองตัดสินใจอย่างหนักในการตกลงใจกระทำผิด ในกรณีนี้จึงเป็นการกระทำผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share