คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4962/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม แล้วจำเลยที่ 1 ผิดนัดผิดสัญญาโจทก์จึงยึดรถคืนและสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายตามฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การเพียงว่า ความรับผิดของจำเลยทั้งสองมีไม่ถึงจำนวนที่โจทก์เรียกร้องเท่านั้น คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเพียงใด ส่วนในเรื่องจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาหรือไม่ จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การถึง จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเมื่อโจทก์ยึดรถที่เช่าซื้อคืน เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ติดต่อกันเกินกว่า 2 งวด ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความรับกันแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ข้อเท็จจริงใหม่ว่าโจทก์จำเลยต่างสมัครใจเลิกสัญญา จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และปัญหานี้มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
การที่โจทก์ยึดรถที่ให้เช่าซื้อคืนถือเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้ออย่างหนึ่ง โดยไม่จำต้องบอกเลิกสัญญา เป็นหนังสือแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ไปในราคา ๑,๔๓๑,๐๒๗.๘๔ บาท ตกลงชำระเป็นงวดรายเดือน เดือนละ ๒๙,๘๑๓.๐๘ บาท พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่มอีกงวดละ ๒,๐๘๖.๙๒ บาท รวมเป็นเงิน ๓๑,๙๐๐ บาท ภายในวันที่ ๒๘ ของแต่ละเดือน รวม ๔๘ งวด ชำระงวดแรกวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระตั้งแต่งวดที่ ๑๖ ประจำวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๑ ติดต่อกันตลอดมาเกินกว่า ๒ งวด ต่อมาวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๑ โจทก์ติดตามยึดรถยนต์คืนได้ สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันในวันดังกล่าว โจทก์นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดได้ราคาเพียง ๖๘๖,๘๐๐ บาท ราคารถยนต์ ยังขาดไปจากราคาเช่าซื้ออีก ๒๔๙,๕๖๕ บาท และการที่จำเลยที่ ๑ ครอบครองใช้รถยนต์ของโจทก์ในระหว่างผิดนัดจนถึงวันที่โจทก์ยึดรถยนต์คืนเป็นเวลา ๕ เดือน ทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจใช้รถยนต์ในระหว่างเวลาดังกล่าวได้จึงขอคิด ค่าขาดประโยชน์เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน ๒๙๙,๕๖๕ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระราคารถยนต์ที่ขาดกับค่าเสียหายเป็นเงิน ๒๙๙,๕๖๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๙๗,๐๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๓๗,๐๖๖ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์จำนวน ๓๗,๐๖๖ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีใน ชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความร่วม ๑,๕๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ จำเลยต่างสมัครใจเลิกสัญญานั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมแล้วผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันเกินกว่า ๒ งวด โจทก์จึงยึดรถที่เช่าซื้อคืนเพราะเหตุดังกล่าว ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายตามฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การเพียงว่า ความรับผิดของจำเลยทั้งสองมีไม่ถึงจำนวนที่โจทก์เรียกร้องเท่านั้น คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจาการที่จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาเพียงใด ส่วนในเรื่องจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาหรือไม่ จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การถึง จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเมื่อโจทก์ยึดรถ ที่เช่าซื้อคืนเพราะเหตุจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันเกินกว่า ๒ งวด ทั้งการยึดรถที่เช่าซื้อคืนถือเป็นการบอกเลิกสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๕ อย่างหนึ่ง โดยไม่จำต้องยกเลิกสัญญาเป็นหนังสือแต่อย่างใด ศาลอุทธรณ์จึง ไม่มีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความรับกันแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ โจทก์จำเลยต่างสมัครใจเลิกสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคา จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และปัญหานี้มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของของประชาชน ที่ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นอ้างได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง คำวินิจฉัยของ ศาลอุทธรณ์ส่วนนี้จึงไม่ชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าราคารถยนต์ที่ขาดอยู่เป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท เมื่อรวมกับค่าขาดประโยชน์จำนวน ๓๗,๐๖๖ บาท แล้ว เป็นเงิน ๙๗,๐๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๓๗,๐๖๖ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกัน ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์

Share