คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีมีอำนาจจำหน่ายที่ดินสินสมรสซึ่งมีชื่อสามีในโฉนดแผนที่ได้
เจ้าของร่วมคนหนึ่งอาจจำหน่ายส่วนของตนในทรัพย์สินที่มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันได้โดยลำพัง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2493 จำเลยได้ทำสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3575 ตำบลมหาชัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครเฉพาะส่วนกรรมสิทธิ์ของจำเลยเป็นเงิน 2,000 บาท ได้รับเงินมัดจำในวันทำสัญญาแล้ว 400 บาท สัญญาว่าจะจัดการโอนทะเบียนภายใน 3 เดือนตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง ในระหว่างกำหนด 3 เดือนนี้โจทก์ได้เตือนจำเลยให้โอนที่ดิน จำเลยไม่ยอมโอน กลับจะขอเงินเพิ่มอีก ถ้าไม่ได้เงินเพิ่มก็ไม่ยอมโอน และหาทางหลีกเลี่ยงการโอนเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2493 จำเลยได้ไปยังหอทะเบียนที่ดินจะโอนที่เฉพาะส่วนของจำเลยที่ได้ตกลงขายให้โจทก์ให้แก่ผู้อื่น โจทก์ได้ไปขออายัดการโอนไว้ การที่จำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องฟ้องร้องต่อศาลเสียค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 1,500 บาทจึงฟ้องขอให้จำเลยโอนขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 3575 เฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์ โดยให้จำเลยรับเงินที่ค้างอยู่อีก 1,500 บาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 1,500 บาทกับดอกเบี้ย

จำเลยแก้ว่า ที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางหมูต่อมาจำเลยกับนางหมูได้ทำหนังสือหย่าจากการเป็นสามีภรรยาได้แบ่งปันทรัพย์กันที่ดินรายพิพาทจำเลยได้ยกให้นายประยูรบุตรชายก่อนที่จำเลยทำสัญญาขายให้โจทก์ จำเลยไม่พอใจนายประยูร จึงคิดกลับใจจะไม่ให้ที่ดิน จึงได้ทำสัญญาจะขายให้โจทก์ โจทก์ฟ้องยังไม่ครบกำหนดสัญญา จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่ได้เสียหายตามฟ้อง

นางหนู นายประยูร เพ็งเจริญ ร้องสอดว่า ที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางหมู นางหมูกับจำเลยได้ทำหนังสือหย่าขาดจากสามีภริยา ที่พิพาทจึงเป็นของนางหมู 1 ใน 3 ส่วน จำเลยไม่มีอำนาจเอาไปโอนขายให้โจทก์เกินกว่าส่วนของตน ในวันหย่าได้แบ่งทรัพย์กัน จำเลยยกส่วนของจำเลยให้แก่นายประยูรบุตร นายประยูรได้ครอบครองมาเกิน 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ ที่ดินโฉนดที่ 3575 มีผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยยังมิได้แบ่งเป็นสัดส่วน ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วมทุกคน จำเลยไม่มีอำนาจทำนิติกรรมโอนขายให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ให้ที่ดินพิพาทราคา 2,500 บาทเป็นของผู้ร้องสอด

โจทก์แก้ว่า จำเลยกับนางหมูจะหย่าขาดกันหรือไม่ ๆ ทราบหากจะได้หย่ากันจริง นายบุญจำเลยกับผู้ร้องสอดที่ 1 (นางหมู) ก็ได้แบ่งทรัพย์สินกันแล้ว นายบุญจำเลยเป็นผู้มีส่วนได้ที่ดินพิพาทนายบุญจำเลยไม่เคยยกที่พิพาทให้แก่นายประยูรผู้ร้องสอดที่ 2 แม้จะเคยบอกยกให้ก็ไม่สมบูรณ์ เพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ร้องสอดไม่ได้ปกครองโดยปรปักษ์และยังไม่ถึง 10 ปี

ศาลชั้นต้นพิจารณาได้ความว่า จำเลยกับนางหมูผู้ร้องสอดเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน คือนายประยูรผู้ร้องสอด เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2481 จำเลยได้ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนของนางเอม ตามโฉนดที่ 3575 และได้แก้ทะเบียนลงชื่อนายบุญจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกับเจ้าของที่ดินคนอื่นครั้นวันที่ 23 พฤษภาคม 2493 นายบุญจำเลยได้ทำสัญญาขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยในโฉนดดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นเงิน 2,000 บาทจำเลยได้รับเงินมัดจำจากโจทก์แล้ว 500 บาท กำหนดจะโอนขายภายใน 3 เดือนอีก 1,500 บาท โจทก์จะชำระในวันแก้ทะเบียนโอนขาย แต่จำเลยไม่โอนขายให้แก่โจทก์ เพราะโฉนดไม่ได้อยู่ที่จำเลย นางหมูนายประยูรผู้ร้องสอดไม่ยอมให้จำเลยโอนขาย จะให้จำเลยโอนที่รายนี้ให้แก่นายประยูรผู้ร้องสอด โจทก์ได้ไปร้องขออายัดไว้ต่อพนักงานที่ดิน จึงได้นำคดีมาฟ้องศาล ฝ่ายผู้ร้องสอดว่าจำเลยกับนางหมูหย่าขาดจากสามีภรรยากันแล้ว ที่รายนี้ 1 ใน 3 เป็นของนางหมู ที่นอกจากนี้เป็นของนายประยูร โดยจำเลยยกให้นายประยูร ๆ ครอบครองมาเกิน 20 ปี ข้อที่ว่าจำเลยได้หย่าขาดกับนางหมูแล้วหรือไม่ทางพิจารณาฟังได้เพียงว่าจำเลยได้นางสาลี่เป็นภรรยาน้อย แล้วจำเลยไปอยู่กับนางสาลี่บ้าง อยู่กับนางหมูบ้าง พยานผู้ร้องสอดเบิกความแตกต่างกัน ถ้าหย่ากันจริงหนังสือหย่าต้องมีอยู่ และในหนังสือจะต้องพูดถึงเรื่องแบ่งทรัพย์ด้วยแต่ตามทะเบียนหย่าที่อำเภอไม่ปรากฏว่าได้มีการหย่ากัน ยิ่งกว่านี้นางหมูเบิกความว่า ได้หย่ากับจำเลยแล้วนางหมูจึงได้ซื้อที่จากนายเจียมแต่ตามโฉนดที่ 2575 ปรากฏในการแก้ทะเบียนลงชื่อนางหมูเป็นผู้ซื้อ นางหมูใช้นามสกุลว่า เพ็งเจริญ อันเป็นนามสกุลของจำเลยแสดงให้เห็นว่า จำเลยกับนางหมูยังไม่ได้หย่ากันใช่แต่เท่านั้น เมื่อร้องสอดก็ยังใช้นามสกุลว่าเพ็งเจริญ การที่อ้างว่าหย่าขาดจากกันนั้น เพื่อมิให้จำเลยต้องโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาเท่านั้น ที่ดินส่วนของจำเลยตามโฉนดรายนี้เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางหมูผู้ร้องสอด จำเลยมีอำนาจทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินรายนี้ได้ จำเลยมีหน้าที่ปฏิบัติตามสัญญา ส่วนในข้อที่ว่าจำเลยได้ขายที่รายนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วมผู้อื่นนั้น ตามสัญญาปรากฏว่า จำเลยขายเฉพาะส่วนของจำเลยมิใช่ขายที่ตอนใดตอนหนึ่งฉะนั้นแม้เจ้าของร่วมจะไม่ยินยอมให้ขาย จำเลยก็มีอำนาจจะขายได้จำเลยทำสัญญามัดจำจากโจทก์แล้ว แต่ไม่จัดการโอนขายให้โจทก์อ้างว่าภรรยาและบุตรไม่ยอมให้ขาย ต้องถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ตามข้อสัญญาที่ว่าถ้าจำเลยไม่จัดการโอนขาย จำเลยยอมให้ปรับ 500 บาท และคืนเงินมัดจำโจทก์ในคดีนี้ไม่ต้องการค่าปรับ ต้องการให้จำเลยโอนขาย และำจเลยยังสามารถที่จะโอนขายได้ จึงบังคับให้จำเลยโอนขายให้โจทก์ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า โจทก์ฟ้องแย้งไม่ครบกำหนดสัญญา จำเลยเองต่อสู้ว่าที่รายนี้ได้ยกให้นายประยูรทางพิจารณาก็ได้ความว่า จำเลยจะไปโอนที่รายนี้ให้แก่นายประยูรเป็นการแสดงว่า จำเลยได้สละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาแล้วจำเลยจะอ้างประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาไม่ได้โจทก์มีอำนาจ นัดจำเลยได้ก่อนครบกำหนด 3 เดือน ตามที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยผิดสัญญาต้องนำคดีมาฟ้องเป็นเงิน1,500 บาทนั้นโจทก์ไม่มีพยานสืบว่าได้เสียหายพิเศษอย่างใด มีแต่ตัวโจทก์ว่าเสียค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าทนายเป็นเงิน 3,500 บาท ค่าใช้จ่ายและค่าทนายนี้เมื่อจำเลยแพ้คดี ศาลก็บังคับให้จำเลยใช้ให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่ควรได้ค่าเสียหายนี้อีก พิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยในโฉนดเลขที่ 1575 ให้แก่โจทก์ พร้อมกันนั้นให้โจทก์ชำระราคาที่ดินอีก 1,500 บาท ให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอดทั้งสอง ให้จำเลยและผู้ร้องสอดใช้ค่าธรรมเนียมค่าทนาย 150 บาทแทนโจทก์

นางหมู นายประยูร ผู้ร้องสอดฝ่ายเดียวอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีฟังได้แน่นอนว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ และรับเงินมัดจำไปจากโจทก์แล้วเมื่อจำเลยไม่โอนขายที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยก็ต้องรับผิดและจำเลยก็มิได้อุทธรณ์คัดค้านประการใด คดีสำหรับจำเลยจึงเป็นอันยุติคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์เฉพาะข้ออุทธรณ์ของผู้ร้องสอด ข้ออุทธรณ์ของผู้ร้องสอดเรื่องโจทก์ฟ้องก่อนครบกำหนดสัญญา 3 เดือนนั้น ผู้ร้องสอด มิได้ตั้งประเด็นไว้เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งจำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้าน จึงไม่ชอบที่ผู้ร้องจะยกเป็นข้ออุทธรณ์ได้ ข้อที่ผู้ร้องสอดอุทธรณ์ว่า ที่ดินโฉนดที่ 3575 มีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่หลายคนนางหมูผู้ร้องสอดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมมิได้ยินยอมด้วย ไม่ชอบที่จำเลยจะขายได้นั้น เป็นเรื่องขายสิทธิเฉพาะส่วนของจำเลยในโฉนดเลขที่ 3575 จำเลยย่อมขายได้ตามมาตรา 1361 วรรค 1 (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) ข้อที่ผู้ร้องสอดอุทธรณ์ว่า จำเลยกับนางหมูผู้ร้องสอดได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยาและแบ่งทรัพย์กันจำเลยได้ยกที่พิพาทให้นายประยูรผู้ร้องสอด ไม่มีหนังสือเป็นหลักฐานมาแสดง ผู้ร้องสอดอ้างว่า หนังสือหย่าหายไปโดยเหน็บฝาเรือนไว้แต่พยานผู้ร้องสอดเบิกความแตกต่างกัน นางหมูว่าจำเลยเซ็นชื่อในหนังสือหย่า ส่วนนางหมูกดลายพิมพ์นิ้วมือ นายเฉยพยานว่านางหมูเขียนชื่อนางหมูลงในหนังสือหย่า ไม่ใช่กดลายพิมพ์นิ้วมือดังที่นางหมูกล่าว ถ้ามีการหย่ากันจริงก็น่าจะมีหลักฐานปรากฏ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกับนางหมูผู้ร้องสอดได้หย่ากันแล้ว ข้อที่ว่า จำเลยได้ยกที่พิพาทให้นายประยูรผู้ร้องสอดปรากฏว่าจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกับผู้อื่นในโฉนด ต้องสันนิษฐานว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดินมาตรา 35 และจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ผู้ร้องอ้างว่า ที่ดินเป็นของนายประยูรผู้ร้อง โดยได้ครอบครองมาเกิน 10 ปีนั้น ต้องนำสืบให้ได้ความมั่นคงพอที่จะหักร้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย แต่ไม่มีคำพยานสนับสนุนถ้อยคำของผู้ร้องสอด จึงฟังไม่ได้พิพากษายืน ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ร้องสอด ให้ผู้ร้องสอดเสียค่าทนายชั้นอุทธรณ์ 75 บาทแทนโจทก์

นางหมู นายประยูร ผู้ร้องสอดฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ประชุมพิจารณาแล้ว คดีมีข้อวินิจฉัยเฉพาะกรณีเกี่ยวแก่ผู้ร้องสอดกับโจทก์เท่านั้น ตามที่นางหมูผู้ร้องพยายามนำสืบว่าได้หย่าขาดจากจำเลยแล้วนั้น นางหมูอ้างว่าได้ทำหนังสือหย่าถึงสองครั้ง ครั้งแรกทำกันเอง ครั้งหลังทำต่อเจ้าพนักงานอำเภอหนังสือหย่าแต่ละครั้งนางหมูว่าไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการแบ่งทรัพย์เลย การแบ่งทรัพย์เป็นแต่ตกลงกันด้วยปากหากมีการตกลงแบ่งทรัพย์กันจริงก็น่าจะได้กล่าวไว้ในหนังสือหย่าด้วย หนังสือหย่าทั้งสองฉบับนางหมูกล่าวว่าได้เอาเหน็บไว้ที่ฝาเรือน หายไปพร้อมกันทั้งสองฉบับในคราวที่รื้อเรือนปลูกใหม่ ถ้าได้เหน็บฝาเรือนไว้จริงดังกล่าวเมื่อก่อนจะรื้อเรือนปลูกใหม่ก็ย่อมจะได้พบปะหนังสือที่เหน็บไว้หากจะได้หายไปจริงดังที่กล่าวก็ยังมีทางที่ฝ่ายนางหมูจะขอร้องให้เรียกฉบับซึ่งอยู่ทางอำเภอมาแสดงให้เห็นเท็จและจริง แต่ฝ่ายนางหมูหาได้พยายามแสดงให้เห็นเช่นนั้นไม่ ฝ่ายโจทก์นำสืบได้ว่าตามทะเบียนอำเภอไม่ปรากฏว่าจำเลยกับนางหมูได้หย่ากันแล้วโดยเหตุผลจึงไม่น่าเชื่อฟังว่า นางหมูร้องจะได้หย่ากับจำเลยตามที่ฝ่ายนางหมูนำสืบ ฝ่ายนายประยูรผู้ร้องนำสืบว่าจำเลยได้พูดยกที่พิพาทให้แก่นายประยูร ก็เป็นแต่ถ้อยคำที่กล่าวด้วยไม่เป็นหลักฐานอะไร ทั้งขัดกับคำของนางหมูผู้เป็นมารดา กล่าวซึ่งนางหมูกล่าวว่าเวลาพูดยกให้นั้น นายประยูรกำลังเรียนหนังสืออยู่นายประยูรจะได้ยินจำเลยพูดยกให้ได้อย่างไร ที่ ๆ พิพาทกันในคดีมีชื่อจำเลยในโฉนดร่วมกับผู้อื่นด้วยจริง แต่ปรากฏชัดตามสัญญาข้อ1 ว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้ขายได้ทำสัญญาขายที่ดินเฉพาะส่วนของผู้ขายให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะจำหน่ายส่วนของตนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรค 1 ศาลทั้งสองพิพากษาต้องกันมาชอบแล้ว ให้ยกฎีกา พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทก์อีก 75 บาท

Share