แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันซื้อที่ดินมาแล้วแบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงย่อยเนื้อที่เพียงเล็กน้อย มีลักษณะเพื่อที่จะปลูกสร้างตึกแถว และต่อมาหลังจากโจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวแล้วไม่ถึง3 ปี ได้ขายไปในช่วงระยะเวลาอันสั้น ส่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ซื้อที่ดินมาแล้วขายไปในทางการค้าหรือหากำไร เพราะคำว่าการขายโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรหมายความว่าหากมีการซื้อที่ดินมาเพื่อจะขายเพื่อเอากำไรก็เรียกว่าเป็นการค้า แม้จะกระทำเพียงครั้งเดียวก็ถือได้ว่าเป็นการขายโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรแล้ว การคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการคำนวณภาษีการค้านั้นมีหลักเกณฑ์ไม่เหมือนกัน ไม่เป็นผลผูกมัดถึงกันอย่างใด การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรจะต้องเสียภาษีการค้า และเมื่อโจทก์ขายที่ดินที่ได้มาโดยมุ่งทางการค้าหรือหากำไรแล้ว ดังนั้น ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โจทก์จึงไม่มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 80 ของเงินได้พึงประเมิน
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า การประเมินภาษี และเรียกเบี้ยปรับกับเงินเพิ่มของจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3ที่ 4 และที่ 5 ไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว จำเลยทั้งห้าให้การว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยมีว่าการที่โจทก์ที่ 2 ขายที่ดินไปจำนวน 12 แปลง คือโฉนดเลขที่7643 และ 136624 ถึง 136635 เป็นการขายที่ดินที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวมาในปี 2519 ขณะนั้นโจทก์ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน และโจทก์ที่ 1 มีที่ดินอยู่ก่อนตั้งแต่ปี 2515คือที่ดินโฉนดเลขที่ 42117 ส่วนโจทก์ที่ 2 ก็มีที่ดินอยู่ก่อนตั้งแต่ปี 2506 คือที่ดินโฉนดเลขที่ 61164 ดังนั้นที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาททั้งหมดมาเพื่อจะปลูกบ้านเป็นที่อยู่อาศัยจึงไม่มีเหตุผลเพียงพอ ทั้งโจทก์ทั้งสองก็มิได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทแต่อย่างใด โดยอ้างว่าญาติผู้ใหญ่ของโจทก์ที่ 2เห็นว่าที่ดินพิพาทอยู่หน้าสุเหร่าเป็นที่ดินไม่เหมาะในการปลูกบ้าน ก็ไม่มีเหตุผลเพราะก่อนจะซื้อที่ดินพิพาทโจทก์ทั้งสองย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าสภาพที่ดินเป็นอย่างไร เหมาะสมที่จะปลูกบ้านอาศัยหรือไม่ ทั้งที่ดินส่วนที่เป็นที่ตั้งสุเหร่าก็เคยเป็นที่ดินที่โจทก์ที่ 2 เคยมีกรรมสิทธิ์ร่วมมาก่อน ดังที่โจทก์แถลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 1 ธันวาคม 2530 ข้ออ้างของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น แต่กลับปรากฏว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่7643 อยู่ติดกับเชิงสะพานเพชรบุรี-คลองตัน ด้านหนึ่งอยู่ติดกับถนนยาวประมาณ 100 เมตร และบริเวณใกล้เคียง มีตึกแถว 4 ชั้นปลูกอยู่ที่เปิดเป็นร้านค้าแล้วก็มี ตามที่ศาลชั้นต้นได้บันทึกไว้เมื่อไปเผชิญสืบที่ดินพิพาทตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่1 ธันวาคม 2530 นอกจากนี้นางสาวทิพาภรณ์ เพ่งภูมิภณิช เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี นายขม พริ้งพงษ์ เจ้าพนักงานประเมิน และนางสาวขวัญใจ วงศ์แข หัวหน้าสำนักงานสรรพากรเขตพื้นที่ 4 เบิกความเป็นพยานโจทก์สอดคล้องต้องกันได้ความว่า ในขณะที่โจทก์ที่ 2ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทนั้น โจทก์ที่ 2 ได้ยกบริเวณด้านหน้าเนื้อที่ประมาณ 7 ตารางวาให้ทำเป็นถนน และแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็นแปลงย่อยเนื้อที่เพียงเล็กน้อย มีลักษณะเพื่อที่จะปลูกสร้างตึกแถว และต่อมาหลังจากโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทได้ไม่ถึง 3 ปีกล่าวคือ โจทก์ซื้อมาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2519 แล้วได้ขายไปเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2522 เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้น ส่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาแล้วขายไปในทางการค้าหรือหากำไรข้อที่โจทก์อ้างว่ามีหนี้สินมากจึงจำเป็นต้องขายที่ดินพิพาทนั้นก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะหักล้างลักษณะอันแท้จริงของการได้มาและขายที่ดินพิพาทไปดังวินิจฉัยมาแล้วได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าเมื่อโจทก์ขายที่ดินพิพาทแล้วโจทก์ได้ชำระหนี้อย่างใด หากแต่มีเพียงการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อจะชำระหนี้ ทั้งเป็นเวลาหลังจากการขายที่ดินพิพาทแล้วเป็นเวลานาน กล่าวคือ หลังจากบริษัทสินเอเชียเงินทุนหลักทรัพย์ จำกัด ได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2523 อันเป็นเวลาหลังจากโจทก์ขายที่ดินพิพาทแล้วเกือบปี และหนี้รายบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินอุตสาหกรรม จำกัด ก็เพิ่งจะได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในปี 2526 นี้เอง ข้ออ้างของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ข้อที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่าโจทก์ทั้งสองไม่เคยประกอบอาชีพค้าขายที่ดินย่อมถือไม่ได้ว่ากระทำเป็นทางการค้าเพราะคำว่า “ทางการค้า” ย่อมหมายถึง ประกอบกิจการขายที่ดินเป็นปกติธุระเพื่อหากำไรหรือผลประโยชน์นั้น เห็นว่าโจทก์เข้าใจความหมายคลาดเคลื่อนไป คำว่าการขายโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรหาได้หมายความดังที่โจทก์อ้างไม่ กล่าวคือหากมีการซื้อที่ดินมาเพื่อจะขายเพื่อเอากำไร ซึ่งเรียกว่าการค้าแล้ว แม้จะกระทำเพียงครั้งเดียวก็ถือได้ว่าเป็นการขายโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรแล้ว และข้อที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5ยอมปลดภาษีการค้าให้โจทก์ที่ 2 เนื่องจากโจทก์ที่ 2 ขายที่ดินพิพาทไปด้วยความจำเป็น มิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ดังนั้นในการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ต้องฟังเป็นอย่างเดียวกันด้วย มิฉะนั้นจะเป็นการฟังที่ขัดแย้งกันนั้น เห็นว่าการคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการคำนวณภาษีการค้านั้นมีหลักเกณฑ์วินิจฉัยเฉพาะของแต่ละประเภทไม่เหมือนกันตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ไม่เป็นผลผูกมัดถึงกันอย่างใด สำหรับเรื่องภาษีการค้านั้น ตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ท้ายลักษณะ 2หมวด 4 แห่งประมวลรัษฎากร ประเภทการค้า 11 กำหนดว่า การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร จึงอยู่ในข่ายจะต้องเสียภาษีการค้าและตามเหตุผลแห่งการวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5ปรากฏตามรายงานการประชุมเอกสารหมาย ล.12 มีว่า “เพราะผู้อุทธรณ์ขายยกแปลงไปในสภาพเดิมให้แก่ผู้ซื้อเพียงคนเดียว กรณีมีเหตุอันควรฟังได้ว่าผู้อุทธรณ์ขายทรัพย์สินไปโดยมิได้มุ่งค้าหากำไรจึงไม่เข้าข่ายเป็นการค้าอสังหาริมทรัพย์…” ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีเหตุผลหลายข้อวินิจฉัยประกอบกันแล้ว จึงลงความเห็นว่าไม่เข้าข่ายเป็นการค้าอสังหาริมทรัพย์…” เป็นผลทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับการปลดภาษีการค้า ซึ่งนับว่าเป็นคุณแก่โจทก์อยู่แล้ว โจทก์จะเอาผลส่วนนี้ซึ่งเป็นการวินิจฉัยคนละเรื่อง และเหตุผลต่างกันไปยันเอากับการวินิจฉัยในการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยหาได้ไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรได้พิเคราะห์โดยตระหนักแล้วเห็นว่า โจทก์ขายที่ดินพิพาทที่ได้มาโดยมุ่งทางการค้าหรือหากำไร ดังนั้นในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โจทก์จึงไม่มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 80 ดังที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินนั้นชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้งดเงินเพิ่มนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ได้พิจารณาลดเงินเพิ่มให้โจทก์บ้างแล้วเป็นการเหมาะสมแก่พฤติการณ์แล้วไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ทั้งสองอีก ส่วนที่จำเลยทั้งห้าแก้อุทธรณ์ว่าไม่เห็นพ้องด้วยในการที่ศาลภาษีอากรกลางสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับนั้น ศาลฎีกาก็เห็นว่าเป็นการเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขเช่นกันที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรกลางเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน