คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5142/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำร้องขัดทรัพย์บรรยายว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ภูเขาอันเป็นของรัฐตามกฎหมายห้ามมิให้ยึด ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวมิใช่ของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่พิพาท คำร้องขัดทรัพย์จึงหาได้ขัดกันเองหรือเคลือบคลุมไม่
ที่ดินพิพาทเป็นที่ภูเขา ทางราชการไม่อาจออกหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ได้ จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(1) สิทธิทำกินในที่ดินคือสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ดังนั้น การยึดสิทธิทำกินในที่ดินก็คือการยึดสิทธิครอบครองในที่ดินนั่นเอง เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน จึงต้องห้ามมิให้ยึดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1307 โจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาท

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์เป็นเงิน ๖๙,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยโจทก์ขอบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดสิทธิทำกินสำหรับที่ดินซึ่งเป็นที่สวนไม่มีหนังสือ สำคัญสำหรับที่ดิน
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าสิทธิทำกินสำหรับที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นที่ดินภูเขาซึ่งเป็นของรัฐและตามกฎหมายมิให้ยึดที่ดินดังกล่าว ผู้ร้องครอบครองที่ดินในฐานะเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว จำเลยไม่มีส่วนเป็นเจ้าของที่ดินและสิทธิเหนือที่ดินแต่อย่างใดขอให้เพิกถอนการยึด
โจทก์ให้การว่า คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องเคลือบคลุมเพราะขัดกันทำให้โจทก์ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ว่าทรัพย์สิน (สิทธิทำกิน) ที่โจทก์นำยึดนั้นเป็นของรัฐหรือของผู้ร้อง ทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของจำเลย ผู้ร้องมิใช่เจ้าของทรัพย์สินที่โจทก์นำยึด ขอให้ยกคำร้องขัดทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อแรกว่าคำร้องขัดทรัพย์เคลือบคลุมหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องบรรยายมาในคำร้องขัดทรัพย์พอเข้าใจแล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ภูเขาอันเป็นของรัฐตามกฎหมาย ห้ามมิให้ยึด ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว มิใช่ของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาทดังนั้นคำร้องขัดทรัพย์จึงหาได้ขัดกันเองหรือเคลือบคลุมไม่
ปัญหาข้อสุดท้าย โจทก์มีสิทธิยึดสิทธิทำกินในที่ดินพิพาทหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับกันว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ภูเขา ทางราชการไม่อาจออกหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ได้ ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๐๔(๑) สิทธิทำกินในที่ดินคือสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ดังนั้น การยึดสิทธิทำกินในที่ดินก็คือการยึดสิทธิครอบครองที่ดินนั่นเอง เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะประโยชน์ของแผ่นดิน จึงต้องห้ามมิให้ยึดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๗ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาท ส่วนที่โจทก์ฎีกาอีกว่าจำเลยเป็นผู้ปลูกไม้ยืนต้น ทุเรียน ลางสาดลงในที่ดินพิพาท ดอกผลไม้ยืนต้นจึงเป็นของจำเลย เมื่อจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาโจทก์ย่อมมีอำนาจยึดดอกผลของจำเลยได้ โจทกเพิ่งยกปัญหาข้อนี้ขึ้นกล่าวอ้างในฎีกา ทั้งในชั้นบังคับคดี โจทก์ก็มิได้ยึดทรัพย์บนพื้นผิวดินที่ปลูกสร้างไว้ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share