คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1417/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในการจำแนกประเภทสินค้าตามพระราชกำหนด พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503 ต้องเป็นไปตามความหมายในประเภทของสินค้านั้น หรือตามความหมายของหมายเหตุหรือตอนที่เกี่ยวกับสินค้านั้น ๆ จะตีความนอกเหนือไปจากความหมายที่ระบุไว้ในพิกัดหรือหมายเหตุในหมวดหรือตอนที่เกี่ยวกับสินค้านั้น ๆไม่ได้ พิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 มีความหมายว่า แผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วที่ทำเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยกรรมวิธียืดหรือเป่าเพียง 2 วิธีและยังมิได้มีการตกแต่ง พิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 มีความหมายว่า แผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วที่ทำเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยกรรมวิธี หล่อ รีด ยืดหรือเป่าและขัดผิวให้เรียบร้อยแล้วไม่ว่าจะขัดผิวโดยกรรมวิธีอย่างไร และกระจกนั้นจะมีสภาพใสเป็นมันเงาหรือไม่อย่างหนึ่งและแผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วที่ทำเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยกรรมวิธีหล่อ รีด ยืดหรือเป่า และทำให้ใสแล้วไม่ว่าจะทำโดยกรรมวิธีอย่างไรและกระทำในขั้นตอนใดของการผลิตอีกอย่างหนึ่งเพราะตามพิกัดดังกล่าวระหว่างข้อความว่าขัดผิวกับทำให้ใสแล้วใช้คำว่า “หรือ” กระจกชีท ที่โจทก์นำเข้ามีกรรมวิธีในการผลิตโดยดึงน้ำแก้วที่หลอมเหลวในเบ้าหลอมขึ้นเป็นแผ่นกระจกในแนวตั้ง แผ่นกระจกที่ผ่านออกมามีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า สภาพของผิวกระจกเรียบและใสทั้งสองด้าน เนื่องจากน้ำแก้วที่หลอมเหลวไหลผ่านไปบนผิวโลหะ หลอมเหลวในอ่างโลหะหลอมเหลวที่มีการควบคุมอุณหภูมิจนแผ่นกระจก เย็นลง สินค้าดังกล่าวจึงจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่70.06

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้สั่งซื้อสินค้าประเภทกระจก เกรย์ชีทกลาสเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร และสำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าว่าเป็นสินค้าตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 ซึ่งได้รับการลดหย่อนภาษีศุลกากรพิเศษ แต่เจ้าหน้าที่ของจำเลยแจ้งว่าสินค้าดังกล่าวจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 ซึ่งไม่ได้รับลดหย่อนอากร โจทก์โต้แย้งคัดค้านการประเมินภาษีของจำเลยทั้งสองแต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมให้โจทก์นำสินค้าดังกล่าวออกมา โจทก์จึงต้องเสียภาษีอากรในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 ตามที่จำเลยทั้งสองประเมินซึ่งไม่ถูกต้องโจทก์โต้แย้งคัดค้านและสงวนสิทธิที่จะขอคืนภาษีที่จำเลยทั้งสองประเมินไม่ถูกต้องและเกินไปแล้วต่อมาจำเลยทั้งสองมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งว่า ราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายกันให้โจทก์เสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มรวมเป็นเงิน 16,989.16 บาทซึ่งไม่ถูกต้องเพราะจำเลยประเมินภาษีโดยอิงราคาสินค้าที่ซื้อขายกันในปีก่อน ๆ เป็นเกณฑ์ จำเลยต้องคืนภาษีที่เรียกเกินจำนวน93,857.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันประเมิน จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 4,667.16 บาท ขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินภาษีจากพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 ไปเป็นพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 ให้จำเลยทั้งสองคืนเงิน98,414.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงิน 93,857.49 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มเสีย
จำเลยให้การว่า สินค้ากระจกแผ่นที่โจทก์นำเข้าในราชอาณาจักรตามฟ้อง โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าว่าเป็นสินค้าตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 ด้วยความสมัครใจของโจทก์เอง สินค้าดังกล่าวอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 การประเมินของเจ้าพนักงานจึงชอบแล้ว และการที่จำเลยประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มนั้นชอบด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริงแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีของจำเลยทั้งสองจากพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 ไปเป็นพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 ให้จำเลยทั้งสองคืนเงิน 93,857.49บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือน นับแต่วันที่23 พฤษภาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอของโจทก์อื่น ๆ นอกจากนี้ให้ยก โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าสินค้าประเภทกระจกชีทที่โจทก์นำเข้ามาเป็นสินค้าจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 มิใช่จัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ประเภทที่ 70.06 นั้น เห็นว่าหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503 ได้บัญญัติไว้ในภาค 1ว่า “การตีความในพิกัดอัตราศุลกากรนี้ ให้ถือหลักดังต่อไปนี้…..วัตถุประสงค์ของพิกัดอัตราศุลกากรนี้ การจำแนกประเภทสินค้าให้เป็นไปตามความหมายในประเภทนั้น ๆ หรือตามความหมายของหมายเหตุในหมวดหรือตอนที่เกี่ยวกับสินค้านั้น ๆ โดยถือหลักเกณฑ์ดังจะกล่าวต่อไปนี้ เว้นแต่ประเภทหรือหมายเหตุนั้นจะมีข้อความกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น……” จะเห็นได้ว่าการตีความพิกัดอัตราศุลกากรในการจำแนกประเภทสินค้าต้องเป็นไปตามความหมายในประเภทของสินค้านั้นหรือตามความหมายของหมายเหตุในหมวดหรือตอนที่เกี่ยวกับสินค้านั้น ๆจะตีความนอกเหนือไปจากความหมายที่ระบุไว้ในพิกัดหรือหมายเหตุในหมวดหรือตอนที่เกี่ยวกับสินค้านั้น ๆ ไม่ได้ สินค้าที่โจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าเพื่อเสียภาษีอากรเป็นสินค้าประเภทกระจกหรือแผ่นแก้วซึ่งจัดอยู่ในพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรหมวด 13ตอนที่ 70 ว่าด้วยแก้วและเครื่องแก้ว ซึ่งพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 ได้ระบุว่า “แก้วที่ยืดหรือเป่า (รวมทั้งแก้วสี)ทำเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ยังมิได้ตกแต่ง” ส่วนพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 ระบุว่า “แก้วหล่อ รีด ยืดหรือเป่า(รวมทั้งแก้วสีหรือแผ่นแก้วที่มีลวดตาข่ายยึด) ทำเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขัดผิวหรือทำให้ใสแล้ว แต่ต้องมิได้ทำมากไปกว่าที่กล่าว” เห็นได้ชัดว่าพิกัดอัตราศุลกากรทั้งสองประเภทดังกล่าวให้พิเคราะห์ถึงกรรมวิธีการผลิตในหลักใหญ่ว่าผลิตโดยวิธีใด ลักษณะของแผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วและสภาพของแผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วเป็นอย่างไรเท่านั้น ตามข้อความในพิกัดอัตราศุลกากรทั้งสองประเภทก็ดี หมายเหตุของหมวด 13 และตอนที่ 70 ก็ดี มิได้ระบุไว้ว่าให้พิเคราะห์ถึงกรรมวิธีการผลิตกระจกหรือแผ่นแก้วแต่ละวิธีว่ามีขั้นตอนการผลิตอย่างไร การขัดผิวต้องขัดด้วยเครื่องกล และจะต้องขัดผิวหลังจากมีสภาพเป็นแผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วที่แข็งตัวดีแล้วหรือไม่ ขัดผิวให้เรียบมากน้อยเท่าใด และการทำให้แผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วให้ใสก็มิได้ระบุว่าต้องกระทำโดยวิธีใดหรือต้องทำให้ใสหลังจากขัดผิวแล้วแต่อย่างไร และทำให้ใสขนาดไหน ดังนั้นพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 จึงมีความหมายว่า แผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วที่ทำเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยกรรมวิธียืดหรือเป่าเพียง 2 วิธีเท่านั้น และยังมิได้มีการตกแต่ง ส่วนพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 มีความหมายว่าแผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วที่ทำเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยกรรมวิธีหล่อ รีด ยืด หรือเป่า และขัดผิวให้เรียบแล้วอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะขัดผิวโดยกรรมวิธีอย่างไร กระจกนั้นจะมีสภาพใสเป็นมันเงาหรือไม่ ก็เรียกว่าได้มีการตกแต่งแล้ว และจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 ไม่จัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 หรือแผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วที่ทำเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยกรรมวิธีหล่อ รีด ยืดหรือเป่า และทำให้ใสแล้วอีกอย่างหนึ่ง การทำให้ใสไม่ว่าจะทำโดยกรรมวิธีอย่างไรและกระทำในขั้นตอนใดของการผลิตแผ่นกระจกหรือแผ่นแก้ว ถ้าแผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วที่ผลิตออกมาด้วยกรรมวิธีหนึ่งกรรมวิธีใดใน 4 วิธีดังกล่าว เมื่อแผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วอยู่ในลักษณะแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าและอยู่ในสภาพใสแล้ว แผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วนั้นก็จัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 เช่นเดียวกันมิได้มีความหมายว่าจะต้องผ่านกรรมวิธีขัดผิวด้วยเครื่องกลจนแผ่นกระจกหรือแผ่นแก้วใสจึงจะจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภท 70.06 ทั้งนี้เพราะตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06ระหว่างข้อความว่าขัดผิวกับทำให้ใสแล้ว พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรใช้คำว่า “หรือ” ถ้าพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรมีเจตนารมณ์ดังกล่าว ก็น่าจะใช้ข้อความว่า ขัดผิวและทำให้ใสแล้วหรือใช้ข้อความว่า ขัดผิวจนทำให้ใสแล้ว ในกรณีนี้ตามที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้โต้แย้ง ประกอบกับรายงานกระบวนพิจารณาของศาลภาษีอากรกลาง ซึ่งไปเผชิญสืบที่โรงงานกระจกไทยอาซาฮีลงวันที่ 12 กันยายน 2529 ข้อเท็จจริงได้ความว่ากระจกชีทที่โจทก์นำเข้ามา กรรมวิธีในการผลิต คือดึงน้ำแก้วที่หลอมเหลวในเบ้าหลอมขึ้นเป็นแผ่นกระจกในแนวตั้ง แผ่นกระจกที่ผ่านออกมามีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า สภาพของผิวกระจกเรียบและเนื้อกระจกใสทั้งสองด้าน ปรากฏตามกระจกพิพาทตัวอย่าง วจ.2 กรรมวิธีการผลิตกระจกชีทดังกล่าวเข้าลักษณะดึงหรือยืดแก้วออกมาเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า และทำให้ใสแล้ว ในทำนองเดียวกันกับการผลิตกระจกโฟลทตามคำนายปรีชา ดิษเสถียร พยานจำเลย รายงานกระบวนพิจารณาในการเผชิญสืบที่โรงงานกระจกไทยอาซาฮี ของศาลดังกล่าวประกอบกับบทความจาก “ดี อีโคโนมิสท์ 24 มกราคม 1959″เอกสารหมาย ล.27 แผ่นที่ 4 ได้ความว่ากรรมวิธีการผลิตกระจกโฟลททำโดยให้น้ำแก้วหลอมเหลวหรือน้ำกระจกหลอมเหลวไหลออกจากเตาหลอมเป็นแถบยาวอย่างต่อเนื่องผ่านไปบนผิวของโลหะหลอมเหลวในอ่างโลหะหลอมเหลวที่มีการควบคุมอุณหภูมิแล้วแถบน้ำแก้วหรือแถบน้ำกระจกนี้จะค่อย ๆ เย็นลงทีละน้อย เนื่องจากในขณะที่กระจกยังร้อนอยู่นั้น ผิวกระจกไม่ได้สัมผัสสิ่งใดเลย นอกจากโลหะหลอมเหลวซึ่งมีผิวเรียบเท่านั้น แผ่นกระจกที่ได้จากกรรมวิธีการผลิตดังกล่าวผิวกระจกจึงมีสภาพเรียบและใส โดยไม่ต้องผ่านกรรมวิธีขัดผิวด้วยเครื่องกลเช่นเดียวกับกระจกชีท วจ.2 ที่โจทก์นำเข้ามา นางสาวสุวิมล ชูพิศาลยโรจน์ พยานจำเลยเคยทำงานอยู่ที่กองวิเคราะห์ของจำเลยที่ 1 ได้เบิกความยืนยันว่ากระจกโฟลทจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 นอกจากนี้หลังจากโจทก์นำกระจกรายพิพาทนี้เข้ามาแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2528 บริษัทลิมเกียงเส็งกากีจำกัด ได้นำสินค้าประเภทกระจกชีทเข้ามาซึ่งเป็นกระจกประเภทและชนิดเดียวกันกับที่โจทก์นำเข้ามาในคดีนี้บริษัทลิมเกียงเส็งกากีจำกัด ได้ระบุในใบขนสินค้าขาเข้าเพื่อเสียภาษีอากรว่า สินค้าอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากร 70.06 เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ก็ตรวจปล่อยสินค้านั้นให้บริษัทลิมเกียงเส็งกากีจำกัด รับไปโดยมิได้โต้แย้งแต่อย่างไร ปรากฏตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า เอกสารหมาย จ.67 แผ่นที่ 1 และที่ 2ดังนั้นสินค้าประเภทกระจกที่โจทก์นำเข้ามาจึงจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 ที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1กระทำการประเมินโดยจัดให้กระจกชีทที่โจทก์นำเข้ามาอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภท 70.05 จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองคืนเงิน 93,857.48 บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มของจำเลยทั้งสองตามหนังสือที่ กค. 0613(ก)/1-291เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง

Share