แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ยอมยกเลิกเงินที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ตามสัญญากู้ และที่จำเลยที่ 2 เป็นหนี้ตามสัญญาขายฝาก ให้จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวรับผิดชดใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่โจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ดังนี้ แม้โจทก์จะรู้เรื่องการฉ้อโกงตามสัญญาขายฝากและสัญญากู้ภายหลังที่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมก็ตาม โจทก์จะมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานฉ้อโกงไม่ได้ เพราะเป็นการยินยอมไม่ว่ากล่าวในหนี้รายนี้ต่อกันแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกล่าวข้อความอันเป็นเท็จต่อโจทก์ว่า บ้านเลขที่ ๘๔ ตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นของจำเลยทั้งสอง จะขายฝากให้โจทก์เป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท โจทก์หลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงได้ตกลงรับซื้อฝากและจ่ายเงินให้ไป จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ทำสัญญาขายฝาก จำเลยทั้งสองได้มากู้เงินโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ ๑๓๐,๐๐๐ บาท และรับเงินไปจากโจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองอ้างว่าบ้านของจำเลยทั้งสองยังติดขายฝากอยู่โจทก์จึงยอมให้จำเลยทั้งสองกู้เงินไป ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้เงินกู้ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๔/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยที่ ๑ ยอมชำระเงิน ๕๓,๐๐๐ บาทให้โจทก์ ศาลพิพากษาตามยอม โจทก์ได้ไปจดทะเบียนไถ่ถอนขายฝากตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านเลขที่ ๘๔ ดังกล่าว เพื่อขายทอดตลาดมีนางน้อย แสงเพชร พี่สาวของจำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขัดทรัพย์อ้างว่าบ้านดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ปล่อยบ้านที่ยึดคืนแก่ผู้ร้อง โจทก์จึงทราบว่าบ้านเลขที่ ๘๔ ที่จำเลยที่ ๒ นำมาทำสัญญาขายฝากไว้กับโจทกและที่โจทก์นำยึดไม่ใช่บ้านของจำเลยทั้งสอง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑,๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๔/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น ไม่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๙(๒) ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ยอมยกเลิกเงินที่จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ตามสัญญากู้ ๑๓๐,๐๐๐ บาทและที่จำเลยที่ ๒ เป็นหนี้ตามสัญญาขายฝาก ๘๐,๐๐๐ บาท โดยให้จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวรับผิดชดใช้เงินจำนวน ๕๓,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๔/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น ดังนี้แม้โจทก์จะรู้เรื่องฉ้อโกงตามสัญญาขายฝากและสัญญากู้ภายหลังที่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาล พิพากษาตามยอมก็ตาม โจทก์จะมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานฉ้อโกงไม่ได้ เพราะเป็นการยินยอมไม่ว่ากล่าวในหนี้รายนี้ต่อกันแล้ว
พิพากษายืน