แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลย เนื่องจากคำซัดทอดของผู้กระทำผิดคนอื่นในชั้นสอบสวน ในชั้นศาลผู้ซัดทอดเบิกความว่า คนที่กระทำความผิดไม่ใช่จำเลย คำซัดทอดชั้นสอบสวนเป็นพยานบอกเล่าไม่มีน้ำหนักพอจะฟังลงโทษจำเลยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 75, 76, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 8 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) ลงวันที่ 17 กันยายน 2522 เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 ข้อ 4(1)
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดฐานร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคสอง ประกอบมาตรา76 วรรคสอง จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในคืนเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับนายสมควร ชาแสนในข้อหามีกัญชาน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายพร้อมรถจักรยานยนต์ของจำเลยหนึ่งคัน มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกระทำผิดกับนายสมควร ชาแสนหรือไม่ จ่าสิบตำรวจณรงค์ พลไชย สิบตำรวจเอกลำปาง บุญฑลและพลตำรวจสมัครไพศาล ศรีกระแจะ พยานโจทก์เบิกความว่า ขณะตั้งจุดตรวจเห็นรถจักรยานยนต์แล่นมาหนึ่งคัน เรียกให้หยุด เมื่อรถหยุดชายคนที่ขับรถจักรยานยนต์วิ่งหนีเข้าป่าไป ส่วนคนที่นั่งซ้อนท้ายจับไว้ได้ชื่อนายสมควร ชาแสน ค้นพบกัญชา 2 ถุง และยึดรถจักรยานยนต์ไว้ด้วย พยานโจทก์ดังกล่าวคงมีแต่พลตำรวจสมัครไพศาลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เบิกความว่าจำคนที่หลบหนีได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะไม่รู้จักมาก่อน ต่อมาอีกเกือบปีเมื่อจับจำเลยได้พยานจึงจำได้ว่าคนที่หลบหนีเข้าป่าในคืนเกิดเหตุคือจำเลย เห็นว่าเหตุเกิดเวลากลางคืนที่เกิดเหตุไม่มีแสงสว่างคงมีแต่แสงไฟฉายของตำรวจ พลตำรวจสมัครไพศาล เห็นคนที่หลบหนีเพียงแวบเดียวไม่น่าเชื่อว่าพยานปากนี้จะจำคนที่หลบหนีได้เพราะไม่รู้จักมาก่อนเหตุที่จับจำเลยมาให้พยานปากนี้ดูหลังจากเกิดเหตุเกือบปีก็จับเพราะคำซัดทอดในชั้นสอบสวนของนายสมควร ชาแสน แต่ในชั้นศาลนายสมควร ชาแสน กลับเบิกความว่า คนขับรถจักรยานยนต์ที่หลบหนีไปในคืนเกิดเหตุ ชื่อนายเพลินไม่ใช่จำเลยนี้ โจทก์คงมีแต่คำซัดทอดของนายสมควร ชาแสนในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นพยานบอกเล่าไม่มีน้ำหนักพอจะฟังลงโทษจำเลยได้ คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำผิดกับนายสมควร ชาแสน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.