คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6754/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาคือราคาที่พิพาทจำนวน162,000บาทและค่าเสียหายอันเกี่ยวเนื่องกับที่พิพาทจนถึงวันฟ้องจำนวน40,200บาทรวมเป็นเงิน202,200บาทซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เกิน200,000บาทจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองในที่ดินเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลหนองสาหร่ายอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ทิศเหนือติดที่ดินของกองทัพบก ทิศใต้ติดที่ดินของจำเลย ทิศตะวันตกติดที่ดินของนายเจริญ มนัสสถิตย์ ทิศตะวันออกติดที่ดินของนายโป่ย(ไม่ทราบนามสกุล) ปัจจุบันเป็นของจำเลยโดยโจทก์ได้รับมาจากนาวาอากาศโทสงัด ปิตะเสน บิดาโจทก์เมื่อปี 2520 เดิมที่ดินดังกล่าวเป็นของนางน้อย สุขเกิด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2498นางน้อยได้แจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) และขายให้แก่บิดาโจทก์เมื่อปี 2509 ในราคา 6,000 บาท บิดาโจทก์ได้เข้าครอบครองและได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวจนถึงปี 2520 จึงได้ยกให้แก่โจทก์เมื่อบิดาโจทก์ซื้อมาแล้วได้มอบที่ดินให้นางน้อยเช่าทำประโยชน์ และเมื่อโจทก์ได้รับที่ดินจากบิดาโจทก์แล้วก็ได้มอบให้นางน้อยดูแลแทนเรื่อยมา ภายหลังนางน้อยได้นำที่ดินของโจทก์ไปให้นายเทศ ปุยขุนทดเช่าปลูกข้าวโพด เมื่อนายเทศเลิกเช่าแล้วก็มีจำเลยมาขอเช่าทำประโยชน์จากนางน้อย โดยทำสัญญาเช่ากันไว้ต่อมาเมื่อประมาณต้นปี 2533 โจทก์ได้ไปดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินในที่ดินของโจทก์จากทางราชการจึงพบว่า จำเลยได้นำที่ดินของโจทก์ไปขอออกโฉนดที่ดินแล้วเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 8341เล่ม 84 หน้า 41 เลขที่ดิน 416 หน้าสำรวจ 502ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาเนื้อที่ 8 ไร่ 3 งาน 57 ตารางวา โดยจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จและปลอมแปลงเอกสารหลักฐาน ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อว่าเป็นที่ดินของจำเลยและยอมออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2530 และในปี 2533 จำเลยได้บุกรุกเข้ามาล้อมรั้วในที่ดินของโจทก์ด้วย อันเป็นการรบกวนการใช้สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งโจทก์อาจนำที่ดินให้ผู้อื่นเช่าได้ปีละไม่ต่ำกว่า 1,200 บาท นับแต่วันที่เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยถึงวันฟ้องเป็นเวลา2 ปี 9 เดือน 15 วัน เป็นค่าเสียหาย 40,200 บาท ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 8341 เล่ม 84 หน้า 41 เลขที่ดิน 416 หน้าสำรวจ502 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาหรือเพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยให้โจทก์มีสิทธิออกหลักฐานสิทธิหรือใส่ชื่อโจทก์ลงในโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวและให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดิน และส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยตามเดิม ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 40,200 บาท แก่โจทก์ และชดใช้ค่าเสียหายอีกวันละ 40 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องเสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ซื้อมาจากนางส้มเกลี้ยง เชื่อวงษ์ เมื่อปี 2524 และได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาซึ่งในปี 2530 เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยไม่เคยมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์และไม่เคยเช่าที่ดินจากนางน้อย สุขเกิด ที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์หรือนางน้อย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองในที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยในปัญหาที่ว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์เกิน 200,000 บาท หรือไม่ จำเลยได้ยกขึ้นมากล่าวในคำแก้ฎีกาว่า คดีนี้ที่พิพาทมีราคาเพียง 162,000 บาท และค่าเสียหายเพียง40,200 บาท คำขอทั้งสองอย่างเป็นคนละประเภท ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาจึงต้องแยกออกจากกัน เมื่อแต่ละคำขอไม่เกิน200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง นั้นเห็นว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาคือราคาที่พิพาทจำนวน162,000 บาท และค่าเสียหายอันเกี่ยวเนื่องกับที่พิพาทจนถึงวันฟ้องจำนวน 40,200 บาท รวมเป็นเงิน 202,200 บาท ซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เกิน200,000 บาท จึงหาต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งดังที่จำเลยกล่าวอ้างในคำแก้ฎีกาไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่ของโจทก์ ดังนั้น จำเลยจึงครอบครองที่พิพาทโดยไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์
พิพากษายืน

Share