คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2853/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองระบุชัดแจ้งว่าผู้ใดได้ที่ดินที่ตรงไหน อย่างไรการแบ่งที่ดินก็ย่อมต้องแบ่งไปตามที่ระบุในพินัยกรรม การที่จำนวนเนื้อที่ดินตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมมีมากกว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่แท้จริง ฝ่ายที่ได้รับส่วนแบ่งจำนวนเนื้อที่ย่อมได้รับลดน้อยลงไป จะถือเอาตามจำนวนที่ระบุไว้ในพินัยกรรมหาได้ไม่ ฝ่ายที่ได้รับส่วนแบ่งโดยระบุอาณาเขตไม่ระบุเนื้อที่ก็ย่อมต้องได้ตามอาณาเขตที่ระบุในพินัยกรรม จะนำพยานบุคคลมาสืบพิสูจน์เจตนาผู้ทำพินัยกรรมให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ระบุไว้ในพินัยกรรมหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ นางสาวลำจวน นางม้วน นายสุพจน์ และจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ปกครองร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๙ ตำบลบางคูเวียง โดยโจทก์ นางสาวลำจวน และนางม้วน เป็นเจ้าของร่วมกันโดยมีส่วนสัดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๓ งาน โจทก์กับพวกขอแบ่งแยกแต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่โจทก์ นางสาวลำจวน และนางม้วน ตามที่ร่วมกันเป็นเจ้าของเนื้อที่ประมาณ ๓ งาน หากจำเลยบิดพลิ้วให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การว่า ทีดินโฉนดเลขที่ ๔๙ นี้เดิมเป็นของนายบาง ซึ่งถึงแก่กรรมแล้ว ก่อนถึงแก่กรรมนายบางทำพินัยกรรมเป็นเอกสารฝ่ายเมืองระบุว่า ให้ที่ดินแก่นายสุพจน์ ๒ งาน ให้จำเลย ๓ ไร่ ๕๒ วา นอกนั้นยกให้แก่โจทก์ นางสาวลำจวน และนางม้วน โดยไม่ระบุเนื้อที่ไว้ ดังนั้น โจทก์จึงได้เนื้อที่ไม่ถึง ๓ งาน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกนางสาวลำจวน นางม้วน เข้าเป็นโจทก์ร่วมและให้เรียกนายสุพจน์ เข้าเป็นจำเลยร่วม นางสาวลำจวน และนางม้วนไม่คัดค้านและขอถือเอาคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วม นายสุพจน์ไม่คัดค้านและให้การทำนองเดียวกับจำเลย
ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงแล้วให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษาให้จำเลย และจำเลยร่วมแบ่งแยกที่ดินตามฟ้องตามเขตที่ดินที่มีลำกระโดงล้อมบ้านเลขที่ ๑๐๓ หมู่ ๑ เนื้อที่ ๒ งาน ๒๘ วา หากไม่ไปแบ่งแยก ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า นายบางได้ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๙ ให้จำเลย ๓ ไร่ ๕๒ วา จำเลยร่วม ๒ งาน ส่วนโจทก์และโจทก์ร่วมได้เนื้อที่ดินตามที่บ้านเลขที่ ๑๐๓ หมู่ ๑ ปลูกอยู่โดยมีคูน้ำเป็นแนวเขต เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดทำแผนที่พิพาท ปรากฏว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๙ มีเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒๒ ตารางวาเท่านั้น แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๘๔ บัญญัติว่า “เมื่อความข้อใดข้อหนึ่งในพินัยกรรมอาจตีความหมายได้เป็นหลายนัย ให้ถือเอานับที่จะสำเร็จผลตามความประสงค์ของผู้ทำพินัยกรรมนั้นได้ดีที่สุด” เมื่อพินัยกรรมตามเอกสารฝ่ายเมืองระบุชัดแจ้งว่าผู้ใดได้ที่ดินที่ตรงไหน อย่างไร การแบ่งที่ดินก็ย่อมต้องแบ่งไปตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม การที่จำนวนเนื้อที่ดินตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมมีมากกว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่แท้จริง ฝ่ายที่ได้รับส่วนแบ่งเป็นจำนวนเนื้อที่ย่อมได้รับลดน้อยลงไปจะถือเอาตามจำนวนที่ระบุไว้ในพินัยกรรมหาได้ไม่ฝ่ายที่ได้รับส่วนแบ่งโดยระบุอาณาเขตไม่ระบุเนื้อที่ก็ย่อมต้องได้ตามอาณาเขตที่ระบุไว้ในพินัยกรรม จะนำพยานบุคคลมาสืบพิสูจน์เจตนาผู้ทำพินัยกรรมให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ระบุไว้ในพินัยกรรมหาได้ไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองให้งดสืบพยานของทั้งสองฝ่ายเสีย ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share