แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จ. ไม่เคยรู้จักผู้เสียหายและจำเลยมาก่อน ทุกครั้งที่ จ. ได้พบเห็นจำเลยก็ได้บอกกล่าวยืนยันตลอดมาว่า จำเลยเป็นคนร้ายลักกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหาย จ. กับจำเลยไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความใส่ร้ายจำเลยโดยปราศจากมูลความจริง จ. เห็นการกระทำของจำเลยหลายครั้งหลายหนรวมทั้งที่มีอากัปกิริยาเป็นพิรุธ ซึ่งเชื่อว่าจดจำจำเลยได้แม่นยำไม่ผิดพลาด พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลและน้ำหนักให้รับฟัง คำเบิกความของพยานโจทก์ระหว่างตัวผู้เสียหายกับ จ. ที่เบิกความแตกต่างกันไปบ้าง ถือว่าเป็นข้อแตกต่างในส่วนที่เป็นสิ่งประกอบเล็กน้อย แต่มิใช่เรื่องอันเป็นข้อสำคัญเกี่ยวกับการบ่งบอกหรือบ่งชี้ถึงลักษณะอาการของจำเลยโดยตรงหรือขัดกันระหว่างประจักษ์พยานโจทก์สองปากที่รู้เห็นรูปลักษณ์หรือวิธีการกระทำผิดของจำเลยที่แตกต่างกันหรือขัดกัน จึงไม่ถือเป็นข้อพิรุธอันน่าสงสัยและไม่ทำให้น้ำหนักของพยานหลักฐานโจทก์ที่รับฟังได้ต้องลดน้อยลง
โรงอาหารของมหาวิทยาลัยที่ซึ่งนักศึกษาหรือประชาชนอื่นใดผู้ที่เข้ามาติดต่อราชการกับมหาวิทยาลัยอันมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปนั่งรับประทานอาหารได้เป็นที่ซึ่งอยู่ภายในบริเวณรั้วของมหาวิทยาลัย แต่เป็นบริเวณนอกอาคารเรียนหรือนอกสถานที่ตั้งอันเป็นที่ปฏิบัติงานของราชการหรือข้าราชการตามปกติ การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) คงมีความผิดตามมาตรา 334
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 900 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(8) วรรคหนึ่ง จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 900 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการแรกว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์รายนี้หรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยาน1 ปาก คือนางสาวจิราพรนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยดังกล่าวซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารตรงกันข้ามกับโต๊ะอาหารที่วางกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายโดยห่างกันประมาณ 1 เมตร เบิกความว่า ครั้นผู้เสียหายวางกระเป๋าใส่เครื่องเขียนและโทรศัพท์มือถือไว้ที่โต๊ะอาหารแล้ว ก็ได้เดินเข้าห้องน้ำ จำเลยเดินเข้ามาในโรงอาหารและเดินกลับออกไปแล้วเดินกลับเข้ามาอีกและตรงไปที่โต๊ะอาหารซึ่งกระเป๋าของผู้เสียหายวางอยู่จำเลยรูดซิปกระเป๋าใส่เครื่องเขียนออก หยิบเอากระเป๋าสตางค์แล้วรีบเดินออกไปจากโรงอาหารทันที นางสาวจิราพรเห็นจำเลยมีท่าทางแปลก ๆ จึงเดินตามออกไปดูเห็นจำเลยรีบขับรถจักรยานยนต์ออกไป นางสาวจิราพรรอให้ผู้เสียหายออกจากห้องน้ำและสอบถามว่าใช้ให้ใครมาหยิบกระเป๋าสตางค์ไปหรือไม่ ผู้เสียหายตอบว่าไม่เคยพร้อมกับเปิดกระเป๋าใส่เครื่องเขียนออกดูพบว่ากระเป๋าสตางค์หายไป หลังจากนั้นผู้เสียหายและนางสาวจิราพรแจ้งให้อาจารย์ของมหาวิทยาลัยทราบ อาจารย์ได้วิทยุแจ้งให้พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าประตูสกัดจับชายที่ขับรถจักรยานยนต์ แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าประตูแจ้งกลับมาว่า ชายรูปร่างลักษณะตามที่นางสาวจิราพรบอกได้ขับรถจักรยานยนต์ออกไปก่อนแล้ว ไม่อาจสกัดจับได้ทัน ซึ่งนางสาวจิราพรเบิกความได้ละเอียดลออเป็นลำดับรวมทั้งรูปร่างลักษณะของคนร้ายหรือจำเลยที่แจ้งให้พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าประตูทางออกสกัดจับแต่ไม่สามารถสกัดจับได้ทัน โดยที่นางสาวจิราพรไม่เคยรู้จักผู้เสียหายและจำเลยมาก่อนนอกจากจะเห็นว่าผู้เสียหายเป็นนักศึกษารุ่นน้องอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันจึงช่วยดำเนินการให้ด้วยความเป็นห่วงในฐานะนักศึกษารุ่นพี่อันควรเอื้ออาทรแก่กัน คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวจึงมีเหตุผลน่าเชื่อถือ อีกทั้งผู้เสียหายก็ได้เบิกความยืนยันว่า เมื่อผู้เสียหายออกจากห้องน้ำมาที่โต๊ะอาหาร นางสาวจิราพรก็ได้มาสอบถามว่าได้ให้คนมาหยิบกระเป๋าสตางค์ไปหรือไม่ ผู้เสียหายตอบว่าไม่มีและเดินไปดูกระเป๋าใส่เครื่องเขียนที่วางไว้บนโต๊ะอาหารพบว่ากระเป๋าสตางค์หายไปอันเป็นการแสดงให้เห็นว่า พอผู้เสียหายออกมาจากห้องน้ำ ยังไปไม่ถึงโต๊ะอาหารและไม่ทราบว่ากระเป๋าสตางค์ได้หายไป นางสาวจิราพรก็ได้รีบร้อนเข้ามาสอบถามผู้เสียหายทันที กรณีน่าเชื่อว่านางสาวจิราพรประจักษ์พยานโจทก์ต้องได้รู้เห็นการกระทำอันน่าสงสัยของจำเลยจริง จึงได้มีจิตใจจดจ่อและห่วงใยรีบไปสอบถามผู้เสียหายเช่นนั้น และต่อแต่นั้นมาทุกครั้งที่นางสาวจิราพรได้พบเห็นจำเลยก็ได้บอกกล่าวยืนยันตลอดมาว่า จำเลยเป็นคนร้ายลักกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหาย ทั้ง ๆ ที่นางสาวจิราพรกับจำเลยก็ไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความใส่ร้ายจำเลยโดยปราศจากมูลความจริง ประกอบกับเหตุเกิดในเวลากลางวันนางสาวจิราพรได้เห็นการกระทำของจำเลยหลายครั้งหลายหน รวมทั้งที่มีอากัปกิริยาเป็นพิรุธซึ่งเชื่อว่าจดจำจำเลยได้แม่นยำไม่ผิดพลาด พยานหลักฐานโจทก์นับว่ามีเหตุผลและน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนคำเบิกความของพยานโจทก์ระหว่างตัวผู้เสียหายกับนางสาวจิราพรที่เบิกความแตกต่างกันไปบ้างว่า ผู้เสียหายมาคนเดียวหรือมากับนางสาวปรายด้วยนั้น ถือได้ว่าเป็นข้อแตกต่างในส่วนที่เป็นสิ่งประกอบเล็กน้อย ซึ่งพยานอาจจะเข้าใจสับสนกันไปก็ได้ แต่มิใช่เรื่องอันเป็นข้อสำคัญเกี่ยวกับการบ่งบอกหรือบ่งชี้ถึงลักษณะอาการของจำเลยโดยตรงหรือขัดกันระหว่างประจักษ์พยานโจทก์สองปากที่รู้เห็นรูปลักษณ์หรือวิธีการกระทำผิดของจำเลยที่แตกต่างกันหรือขัดกัน จึงไม่ถือเป็นข้อมีพิรุธอันน่าสงสัยและไม่ทำให้น้ำหนักของพยานหลักฐานโจทก์ที่รับฟังได้ต้องลดน้อยลงแต่อย่างใด ทั้งพยานจำเลยที่นำสืบอ้างฐานที่อยู่ ความก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เคยให้การไว้เช่นนี้ในชั้นจับกุมหรือชั้นสอบสวน และแม้จะมีนางสาวศศิธร แก้วภูมิแห่ มาเบิกความสนับสนุนคำเบิกความของจำเลยแต่นางสาวศศิธรก็เป็นคนรักของจำเลยเอง กรณีนับว่ามีน้ำหนักน้อยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ พฤติการณ์เชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์ของผู้เสียหายรายนี้จริง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ให้ยกฟ้องจึงยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง สำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยได้ลักทรัพย์ในสถานที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้โรงอาหารของมหาวิทยาลัยที่ซึ่งนักศึกษาหรือประชาชนอื่นใด ผู้ที่เข้ามาติดต่อราชการกับมหาวิทยาลัยอันมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปนั่งรับประทานอาหารได้นั้นเป็นที่ซึ่งอยู่ภายในบริเวณรั้วของมหาวิทยาลัย แต่ก็เป็นบริเวณนอกอาคารเรียนหรือนอกสถานที่ตั้งอันเป็นที่ปฏิบัติงานของราชการหรือข้าราชการตามปกติการกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว คงมีความผิดเพียงตามมาตรา 334 ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ให้จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 900 บาท แก่ผู้เสียหาย