คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2994/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลจะพิพากษาตามยอมได้ ศาลจะต้องมีคำสั่งรับฟ้องคดีนั้นแล้ว
โจทก์ฟ้องพร้อมยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ไต่สวนคำร้อง ส่วนคำฟ้องรอไว้สั่งเมื่อไต่สวนคำร้องขออนาถาเสร็จแล้วระหว่างไต่สวน โจทก์จำเลยทั้งหกตกลงกันได้และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมโดยศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งให้รับฟ้องโจทก์ก่อนจึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27บัญญัติไว้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงไม่ชอบ คำบังคับและหมายบังคับคดีที่ออกตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามไปด้วย เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่มีอำนาจยึดทรัพย์สินของจำเลย ศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องเสียก่อน ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 และให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดของจำเลย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่จำเลยทั้งหกผิดสัญญา โจทก์จึงบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 6

จำเลยที่ 6 ยื่นคำร้องว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งหกดังกล่าวเป็นโมฆะ ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นคู่สัญญาในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ไม่มีสิทธิที่จะกล่าวอ้างขึ้นใหม่ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นโมฆะ นอกจากนี้การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 6ก็เป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม ซึ่งจำเลยที่ 6 จะต้องร่วมรับผิดด้วย กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 ให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 6 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 6 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลจะพิพากษาตามยอมได้นั้น ศาลจะต้องมีคำสั่งรับฟ้องคดีนั้นแล้วคดีนี้โจทก์ฟ้องพร้อมยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ไต่สวนคำร้อง ส่วนคำฟ้องรอไว้สั่งเมื่อไต่สวนคำร้องขออนาถาเสร็จแล้ว ระหว่างไต่สวน โจทก์จำเลยทั้งหกตกลงกันได้และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอม โดยศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งให้รับฟ้องโจทก์ก่อน จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 บัญญัติไว้ ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงไม่ชอบ คำบังคับและหมายบังคับคดีที่ออกตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามไปด้วย เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่มีอำนาจยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 6 ศาลฎีกาเห็นเป็นการสมควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องเสียก่อน ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบด้วย มาตรา 247 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 6 ฟังขึ้น

พิพากษากลับว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งของศาลชั้นต้น ตลอดจนคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องตามนัยที่กล่าวข้างต้น แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ไปตามรูปคดี ให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดคือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 6 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่

Share