คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7379/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 572 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 537 และมาตรา 546 กำหนดให้โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์พิพาทมีหน้าที่ตามสัญญาเช่าซื้อที่จะต้องส่งมอบรถยนต์พิพาทแก่จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อ เพื่อให้จำเลยที่ 1 ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในรถยนต์พิพาทตามวัตถุประสงค์ของสัญญาเช่าซื้อ เมื่อฟังได้ว่า ฉ. ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อและรับมอบรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์นำจำเลยทั้งสองมาทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทและสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ หลังจากโจทก์ยื่นฟ้อง ฉ. กับพวกว่าผิดสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาท ให้ร่วมกันส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนโจทก์ ขณะโจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อนั้นสภาพรถยนต์พิพาทจอดซ่อมอยู่ในอู่ซ่อมรถโดยไม่มีกระบะท้ายต้องซ่อมเครื่องยนต์และใส่กระบะท้ายใหม่ จำเลยที่ 1 จึงยังไม่ได้รับรถยนต์พิพาทไปใช้ประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อ กรณีไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์จึงไม่อาจอ้างสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มาฟ้องร้องบังคับเอาแก่จำเลยทั้งสองได้
เมื่อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อมิได้ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ 1 ได้ใช้หรือรับประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ไม่อาจอ้างสัญญาเช่าซื้อมาฟ้องร้องบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 ได้ โจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่สถานะเดิม โจทก์ยึดรถยนต์พิพาทคืนไปในสภาพที่จำเลยที่ 1 จ่ายเงินค่าซ่อมไปแล้ว เป็นการได้ประโยชน์ในค่าซ่อมรถยนต์พิพาทโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบ จำเลยที่ 1 มีสิทธิเรียกคืนค่าซ่อมรถยนต์พิพาทจากโจทก์ในฐานลาภมิควรได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๔๑๕,๑๑๐.๑๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ให้คืนสัญญาเช่าซื้อ สัญญาค้ำประกันกับชำระเงิน ๑๗๐,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง และให้โจทก์ชำระเงิน ๑๗๐,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๓๗ (วันฟ้องแย้ง) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑ กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความให้จำเลยทั้งสองคนละ ๕,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังว่าเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๓ นายฉลวย ไฝเนียม ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์ในราคา ๑,๑๙๘,๑๘๐ บาท กำหนดชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือน นายฉลวยชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ ๑๗ งวด แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๖ โจทก์ยื่นฟ้องนายฉลวยกับพวก ขอให้ร่วมกันส่งมอบรถยนต์พิพาทคืน ให้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ และชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาท วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๖ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทกัน โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ขณะนั้นรถยนต์พิพาทซ่อมอยู่ที่อู่พจน์ชนกรกลการ จังหวัดชุมพร ต่อมาจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ชำระค่าซ่อมรถยนต์พิพาทเป็นเงิน ๑๗๐,๕๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ โจทก์ติดตามยึดรถยนต์พิพาทคืนโดยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดแรก ครั้นวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีที่โจทก์ฟ้องนายฉลวยกับพวก ให้นายฉลวยกับพวกร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน ๑๕๗,๗๓๑.๗๓บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ ๕,๗๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์พิพาทหรือใช้ราคา และให้ส่งมอบรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากส่งมอบไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน ๔๕๔,๙๔๔.๔๔ บาท คดีถึงที่สุดโดยคู่ความไม่อุทธรณ์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์พิพาทย่อมมีหน้าที่ตามสัญญาเช่าซื้อที่จะต้องส่งมอบรถยนต์พิพาทแก่จำเลยที่ ๑ ผู้เช่าซื้อเพื่อให้จำเลยที่ ๑ ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในรถยนต์พิพาทตามวัตถุประสงค์ของสัญญาเช่าซื้อ ทั้งนี้ตามบทบัญญัติมาตรา ๕๗๒ วรรคหนึ่งประกอบด้วยมาตรา ๕๓๗ และ มาตรา ๕๔๖ แห่ง ป.พ.พ. นายสมบัติ พุฒพลายงาม พยานโจทก์เบิกความว่านายฉลวยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อและรับมอบรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์ นำจำเลยทั้งสองมาทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทและสัญญาค้ำประกันกับโจทก์หลังจากโจทก์ยื่นฟ้องนายฉลวยกับพวกว่าผิดสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้ร่วมกันส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนโจทก์ และขณะโจทก์และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อนั้นรถยนต์พิพาทจอดซ่อมอยู่ที่อู่ เห็นได้ว่าสภาพรถยนต์พิพาทขณะจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อนั้นจอดอยู่ในอู่ซ่อมรถโดยไม่มีกระบะท้ายต้องซ่อมเครื่องยนต์และใส่กระบะท้ายใหม่ จำเลยที่ ๑ จึงยังไม่ได้รับรถยนต์พิพาทไปใช้ประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อ แม้นายฉลวยนำจำเลยที่ ๑ มาทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์แล้ว โจทก์ก็ยังดำเนินคดีแก่นายฉลวยกับพวกต่อไป กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้ว โจทก์จึงไม่อาจอ้างสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ มาฟ้องร้องบังคับเอาแก่จำเลยทั้งสองได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว
โจทก์ฎีกาเป็นข้อต่อไปว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระเงินค่าซ่อมรถยนต์พิพาทแก่จำเลยที่ ๑ ตามฟ้องแย้งนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังวินิจฉัยมาแล้วว่า โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อมิได้ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ ๑ ได้ใช้หรือรับประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ไม่อาจอ้างสัญญาเช่าซื้อมาฟ้องร้องบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ ๑ ได้ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยที่ ๑ ไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินค่าซ่อมรถยนต์พิพาท โจทก์ยึดรถยนต์พิพาทคืนไปในสภาพที่จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินค่าซ่อมไปแล้ว เป็นการได้ประโยชน์ในค่าซ่อมรถยนต์พิพาทโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้จำเลยที่ ๑ เสียเปรียบ จำเลยที่ ๑ มีสิทธิเรียกคืนค่าซ่อมรถยนต์พิพาทจากโจทก์ในฐานลาภมิควรได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๐๖ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว…
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share