คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานหลักฐานทั้งหมดของโจทก์เท่าที่นำสืบล้วนเป็นพยานบอกเล่าเมื่อคำนึงว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีเรื่องหมางใจกับผู้ตายและผู้เสียหายมาก่อน ประกอบกับโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันความผิดของจำเลยที่ 2 โดยชัดแจ้ง จำเลยที่ 2 เองก็ให้การปฏิเสธโดยตลอดมาตั้งแต่ต้น ลำพังพยานบอกเล่าของโจทก์เท่าที่ปรากฏยังไม่พอชี้ชัดว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยอื่นด้วย
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฟาดด้วยหลอดไฟฟ้าที่บริเวณกลางหลัง1 ที และถูกไม้กระบองตีที่บริเวณตาข้างขวา 1 ทีจากนั้นผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปได้ ไม่ปรากฏว่าผู้ตายถูกจำเลยคนใดตีทำร้ายอย่างไร หรือมีผู้ใดร้องตะโกนว่าตีให้ตาย แต่กลับได้ความว่าผู้ตายและผู้เสียหายมีอาการเมาสุรา ผู้ตายมีปากเสียงกับฝ่ายจำเลยและพวกแล้วจึงเกิดเหตุตีทำร้ายกัน เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีก็ไม่มีผู้ใดวิ่งไล่ตาม ทั้งปรากฏว่า ขอบตาข้างขวาของผู้เสียหายบวมช้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตร มีแผลถลอกช้ำหางตาและแผลฉีกขาดยาว 1 เซนติเมตรลึก 0.3 เซนติเมตรที่เปลือกตาขวาอาการบาดเจ็บดังกล่าวจะรักษาหายใน 10 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาฆ่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คงเป็นตัวการในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตายและทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทหาเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าไม่
แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จะมิได้ฎีกา แต่เมื่อข้อเท็จจริงแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าและเป็นข้อเท็จจริงแห่งการกระทำที่เกี่ยวพันกับจำเลยที่ 2ซึ่งมีการฎีกาขึ้นมา ทั้งปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4ให้พ้นจากความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185,195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาพิพากษาเข้ากับสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 5225/2540 ของศาลชั้นต้น โดยให้เรียกจำเลยในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 5225/2540 ของศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 4 แต่คดีดังกล่าวได้ยุติลงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกา คดีจึงขึ้นมาสู่ศาลฎีกา เฉพาะสำนวนคดีนี้

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กับพวกอีกสองคนร่วมกันใช้หลอดไฟนีออนท่อนไม้ทรงกลม ท่อนไม้สี่เหลี่ยมเป็นอาวุธตีและแทงนายสารีหรือเสรี พันทจิตร ผู้ตายและนายทองคำ สายปลิว ผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า ผู้ตายถึงแก่ความตาย ส่วนผู้เสียหายถูกตีบริเวณกลางหลังและใบหน้าได้รับบาดเจ็บตาขวาบวมช้ำเป็นบาดแผลที่หางตาและเปลือกตาขวา จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กับพวกได้ลงมือกระทำความผิดแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด เนื่องจากผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปเสีย แต่ได้รับอันตรายแก่กายเจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้พร้อมยึดไม้ท่อนสี่เหลี่ยมที่ใช้กระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 83, 288 ริบท่อนไม้ของกลาง

จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 และ 288, 80, 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90ขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 1 มีอายุ 17 ปีเศษ จำเลยที่ 2 มีอายุ 16 ปีเศษจำเลยที่ 3 มีอายุ 14 ปีเศษ จำเลยที่ 4 มีอายุ 17 ปีเศษ จึงลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 และ 76 จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ7 ปี 6 เดือน และเห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 5 ปี อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534มาตรา 104(2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่เป็นส่งจำเลยทั้งสี่ไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง มีกำหนดขั้นต่ำ 2 ปี ขั้นสูง 3 ปี นับแต่วันควบคุม ริบของกลาง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า พยานหลักฐานทั้งหมดของโจทก์เท่าที่นำสืบล้วนเป็นพยานบอกเล่า สำหรับข้อความในบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมว่า จำเลยที่ 2ตามจำเลยที่ 1 ที่ 3 ไปนั้น ก็ปรากฏเพียงว่าจำเลยที่ 2 ติดตามไปดูเนื่องจากทราบว่าพวกของตนจะถูกชายทั้งสองทำร้าย เมื่อคำนึงว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีเรื่องหมางใจกับผู้ตายและผู้เสียหายมาก่อน ประกอบกับโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันความผิดของจำเลยที่ 2 โดยชัดแจ้ง จำเลยที่ 2 เองก็ให้การปฏิเสธโดยตลอดมาตั้งแต่ต้น ลำพังพยานบอกเล่าของโจทก์เท่าที่ปรากฏยังไม่พอชี้ชัดว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยอื่นด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ชอบแล้ว

ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดฐานเป็นตัวการฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และ 288, 80 ประกอบ 83 นั้น ยังไม่ถูกต้อง เพราะได้ความจากบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย เอกสารหมาย จ.12 เพียงว่า ผู้เสียหายถูกฟาดด้วยหลอดไฟฟ้าที่บริเวณกลางหลัง 1 ที และถูกไม้กระบองตีที่บริเวณตาข้างขวา 1 ทีจากนั้นผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปได้ โดยไม่ปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนว่า ผู้ตายถูกผู้ใดตีทำร้ายอย่างไร หรือมีผู้ใดร้องตะโกนว่าตีให้ตายแต่อย่างใด แต่กลับได้ความว่าผู้ตายและผู้เสียหายมีอาการเมาสุรา ผู้ตายมีปากเสียงกับฝ่ายจำเลยและพวกแล้วจึงเกิดเหตุตีทำร้ายกัน เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีก็ไม่มีผู้ใดวิ่งไล่ตาม ทั้งผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องก็ปรากฏว่า ขอบตาข้างขวาของผู้เสียหายบวมช้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตร มีแผลถลอกช้ำหางตาและแผลฉีกขาด ยาว 1 เซนติเมตร ลึก0.3 เซนติเมตร ที่เปลือกตาขวา อาการบาดเจ็บดังกล่าวจะรักษาหายใน 10 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่ามีเจตนาฆ่า ดังนั้น จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คงเป็นตัวการในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตายและทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายเท่านั้น หาเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าดังคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองไม่ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จะมิได้ฎีกา แต่เมื่อข้อเท็จจริงแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าและเป็นข้อเท็จจริงแห่งการกระทำที่เกี่ยวพันกับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีการฎีกาขึ้นมา ทั้งปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้พ้นจากความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185, 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290, 295 ประกอบด้วยมาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share