คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2839/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยรับเงินจากโจทก์โดยไม่มีมูลจะกล่าวอ้างได้ตามกฎหมายและถือไม่ได้ว่าจำเลยได้รับเงินไว้โดยสุจริตจำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันนำเงินเข้าบัญชีจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นเรื่องบัญชีเดินสะพัดมิใช่เรื่องลาภมิควรได้ โจทก์ชอบที่จะเพิกถอนรายการที่ซ้ำออกจากบัญชีของจำเลยได้ ข้อที่จำเลยอ้างว่าไม่ต้องคืนเงินจึงฟังไม่ขึ้น แต่ศาลชั้นต้นคิดดอกเบี้ยให้ไม่ถูกต้องพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันหักทอนบัญชีดังนี้ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ ต่อมาด้วยความพลั้งเผลอโจทก์ได้นำเงินที่โอนมาจากธนาคารของโจทก์สาขาพุนพินเพื่อฝากเข้าบัญชีจำเลยซ้ำกันสองครั้ง การที่จำเลยรับเงินไปจากโจทก์ในครั้งหลังเป็นการรับไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้จำเลยคืนเงินพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยได้รับเงินไปจากโจทก์ หากโจทก์นำเงินเข้าบัญชีของจำเลย จำเลยก็ได้รับไว้โดยสุจริตจำเลยเบิกเงินจากบัญชีของจำเลยไปใช้จ่ายจนหมดสิ้นแล้ว จึงไม่ต้องคืนเงินให้โจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยได้รับเงินตามฟ้องไปจากโจทก์โดยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และถือไม่ได้ว่าจำเลยได้รับไว้โดยสุจริตจึงต้องคืนเงินตามฟ้องพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โดยให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่นำเข้าฝากบัญชีของจำเลยตั้งแต่วันฝากถึงวันหักทอนบัญชี และให้เสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่เหลือต้องคืนให้โจทก์นับแต่วันหักทอนบัญชี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นเรื่องบัญชีเดินสะพัด มิใช่เรื่องลาภมิควรได้ โจทก์ชอบที่จะเพิกถอนรายการที่ซ้ำออกจากบัญชีของจำเลยได้ ข้อที่จำเลยอ้างว่าไม่ต้องคืนเงินให้โจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ศาลชั้นต้นคิดดอกเบี้ยให้โจทก์ไม่ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในจำนวนเงินที่ต้องคืนนับแต่วันหักทอนบัญชีเป็นต้นไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะเรื่องจำนวนดอกเบี้ยจึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ถึงแม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่ากรณีเป็นเรื่องลาภมิควรได้แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ากรณีเป็นเรื่องบัญชีเดินสะพัดก็ตามศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2520 จำเลยได้รับเงินจำนวน 39,987.50 บาท จากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ อันเป็นลาภมิควรได้ แต่ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้รับไว้โดยสุจริต จำเลยจึงต้องคืนเงินให้แก่โจทก์ และศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จริงว่า การที่โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีของจำเลยซ้ำกันเนื่องจากความพลั้งเผลอเป็นเรื่องบัญชีเดินสะพัด มิใช่ลาภมิควรได้ โจทก์ชอบที่จะเพิกถอนรายการที่ซ้ำออกจากบัญชีของจำเลยได้ ฉะนั้นข้อที่จำเลยฎีกาว่า “จำเลยรับเงินที่โจทก์นำเข้าบัญชีของจำเลยโดยสุจริต และโจทก์นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยตามอำเภอใจโดยโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องชำระ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินให้แก่โจทก์” นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share