แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คนร้ายปล้นรถโดยสารของ ล. ไป และจับ ล. ไปกักขังไว้ เพื่อเรียกค่าไถ่ จำเลยที่ 3 ได้นำจดหมายคนร้ายมาให้ภรรยาของ ล. เรียกค่าไถ่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ร่วมกระทำการกับคนร้ายในการจับตัว ล. ไปหรือร่วมในการกักขัง ล. ทั้งไม่ได้สนับสนุนการกระทำดังกล่าวปรากฏเพียงว่าจำเลยที่ 3 ได้นำจดหมายคนร้ายมาแสดงต่อภรรยา ล. ดังกล่าวแล้วและเจรจาต่อรองค่าไถ่ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 3 ได้พูดกับภรรยา ล. หลังจากที่ ล. ถูกจับตัวไปว่าไม่ต้องร้อนใจหาเงินมาไถ่ก็แล้วกันและเมื่อภรรยา ล. จ่ายเงินให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 ก็เป็นผู้ขี่จักรยานยนต์ไปกับจำเลยที่ 3 ไปรับ ล. มา เช่นนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานกระทำการเป็นคนกลางเรียกทรัพย์สินที่มิควรได้ จากผู้ที่จะให้ค่าไถ่อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 315 แม้โจทก์จะมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรานี้ แต่การเรียกค่าไถ่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำตามที่โจทก์กล่าวหาจำเลยมาในฟ้องแล้วนั่นเอง ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดหรือบทมาตราที่ถูกต้องที่ได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ได้
จำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 315แต่ได้จัดให้ผู้ถูกคนร้ายเอาตัวไปได้รับเสรีภาพ ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาโดยมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิตจึงชอบที่จะได้รับการลดโทษให้น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ของนายลั่น ใช้ปืนยิงทำให้คนตาย และได้จับกุมเอาตัวนายลั่นไปเพื่อเรียกค่าไถ่และต่อมาจำเลยทั้ง 3 กับพวกได้ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังนายลั่นไว้เพื่อเรียกค่าไถ่ และขู่เข็ญนางเลื่อนภรรยานายลั่น ว่าถ้าไม่ยอมให้เงินจะตัดศีรษะนายลั่นนางเลื่อนจำต้องยอมเสียค่าไถ่ให้จำเลยทั้ง 3 กับพวก จำเลยกับพวกจึงยอมปล่อยตัวนายลั่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289(6), 80, 309 วรรคสอง, 313, 314, 337 วรรคสอง, 340 วรรคสุดท้าย,340 ตรี, 83
จำเลยทั้ง 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(6), 340 วรรคสุดท้าย, 340 ตรี, 83 กระทงหนึ่ง และมาตรา 313,309 วรรคสอง, 337 วรรคสอง, 83 อีกกระทงหนึ่ง ความผิดในกระทงแรกให้ลงโทษตามมาตรา 340 วรรคสุดท้าย ซึ่งเป็นบทหนักให้ประหารชีวิตเสียโดยไม่จำต้องกำหนดโทษสำหรับความผิดกระทงหลัง สำหรับจำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313, 309 วรรคสอง, 337 วรรคสอง, 83ให้ลงโทษตามมาตรา 313 ซึ่งเป็นบทหนักโดยจำคุก 20 ปี ส่วนจำเลยที่ 2ให้ยกฟ้อง ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง, 313, 337 วรรคสอง, 83ให้ลงโทษตามมาตรา 313 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 15 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้ง 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 นั้น ไม่ปรากฏว่าได้ร่วมกระทำการกับคนร้ายในการจับเอาตัวนายลั่นไปหรือร่วมในการหน่วงเหนี่ยวกักขังนายลั่นไว้แต่อย่างใด ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้สนับสนุนการกระทำของคนร้ายเมื่อก่อนหรือขณะกระทำความผิดแต่อย่างใดด้วยเท่าที่ปรากฏจากพยานโจทก์ก็มีเพียงว่าหลังจากที่นายลั่นได้ถูกคนร้ายจับตัวไปแล้วราว 12 วัน จำเลยที่ 3 ได้นำจดหมายของคนร้ายที่ต้องการเงินค่าไถ่150,000 บาทมาแสดงต่อนางเลื่อน บทบาทต่อมาของจำเลยที่ 3 ก็คือเป็นคนเจรจาต่อรองกับนางเลื่อน ยอมลดจำนวนเงินค่าไถ่ลงเหลือ 70,000บาท และยื่นคำขาดว่าถ้าไม่ได้เงินใน 5 วัน นายลั่นจะถูกตัดคอส่งศีรษะมาตั้งที่หน้าบ้าน และเมื่อได้รับเงินค่าไถ่ 70,000 บาทจากนางเลื่อนแล้ว จำเลยที่ 3 ก็สามารถไปรับตัวนายลั่นจากคนร้ายมาส่งคืนให้นางเลื่อนได้ในวันเดียวกับที่ได้รับค่าไถ่นั้นเอง ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 3นั้น มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยโดยเป็นผู้ช่วยพูดสนับสนุนกับนางเลื่อนหลังจากนายลั่นถูกจับตัวไปแล้วราว 6-7 วันว่าไม่ต้องร้อนใจ ขอให้ไปหาเงินสองแสนบาทมาไถ่ตัวนายลั่นก็แล้วกัน และหลังจากนางเลื่อนได้จ่ายเงินค่าไถ่ 70,000 บาทให้จำเลยที่ 3 แล้ว จำเลยที่ 3 ก็เป็นผู้ขี่จักรยานยนต์ไปกับจำเลยที่ 3 เพื่อไปรับตัวนายลั่นจากคนร้ายที่สะพานท่าปานมาส่งบ้านในคืนเดียวกันนั้นเอง
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว พยานโจทก์ในเรื่องนี้ คือนายลั่นผู้ถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ก็ดี นางเลื่อนผู้ถูกเรียกค่าไถ่ก็ดี ตลอดจนนายหวานซึ่งเป็นคนร่วมนำเงินค่าไถ่ 70,000 บาทไปมอบให้จำเลยที่ 3 ก็ดี พยานโจทก์เหล่านี้ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 เองก็ยอมรับในข้อนี้ และยังอ้างว่าเป็นญาติผู้เสียหายด้วยซ้ำ จึงไม่มีเหตุที่น่าระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์เหล่านี้จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าฝ่ายผู้เสียหายอาจเข้าใจผิดว่า จำเลยที่ 3 จะหาเศษหาเลยกับจำนวนเงินที่คนร้ายเรียกร้อง จึงได้พาลดำเนินคดีกับจำเลยที่ 3 และลามมาถึงจำเลยที่ 2ด้วยนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ถ้าหากกรณีเป็นเช่นนั้นจริง จำเลยที่ 2ที่ 3 ก็น่าจะกล้ายอมรับโดยเปิดเผยมาแต่แรกว่าตนได้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยเหลือเจรจากับคนร้ายเพื่อไถ่ตัวนายลั่นให้รอดชีวิตกลับคืนมาโดยสุจริตใจ มิได้มุ่งหวังประโยชน์จากเงินค่าไถ่รายนี้แต่อย่างใด แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 กลับนำสืบปฏิเสธว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นในการเรียกเงินค่าไถ่รายนี้แต่อย่างใดเมื่อข้อเท็จจริงกลับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้เรียกเงินค่าไถ่และรับเงินค่าไถ่ไปเสียเองเช่นนี้ จึงกลับเป็นข้อพิรุธที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในเงินค่าไถ่รายนี้ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ที่สามารถนำจดหมายเรียกเงินค่าไถ่จากคนร้ายมาแสดงเป็นหลักฐานเพื่อติดต่อเรียกเงินค่าไถ่จากนายเลื่อนได้ก็ดี และสามารถใช้อำนาจต่อรองด้วยตนเองลดจำนวนเงินค่าไถ่ลงเหลือ 70,000 บาท โดยมีพวงกุญแจรถของนายลั่นมาแสดงให้นางเลื่อนดูด้วย เพื่อให้นางเลื่อนมีความมั่นใจในอำนาจต่อรองของจำเลยที่ 3 ก็ดี และการที่จำเลยที่ 3 เจรจายื่นคำขาดกับนางเลื่อนว่าถ้าไม่ได้เงินใน 5 วัน นายลั่นจะถูกตัดคอส่งศีรษะมาตั้งที่หน้าบ้านก็ดี ครั้นเมื่อจำเลยที่ 3 ได้รับเงินค่าไถ่70,000 บาทจากนางเลื่อนในเช้าวันที่ 27 เมษายน 2519 แล้ว จำเลยที่ 3ก็สามารถไปรับตัวนายลั่นจากคนร้ายกลับคืนมาได้ในคืนวันเดียวกันนั้นก็ดีพฤติการณ์เหล่านี้แสดงว่าจำเลยที่ 3 มีความสัมพันธ์กับคนร้ายถึงขนาดสามารถกระทำการติดต่อเชื่อมโยงเป็นคนกลางเรียกเงินค่าไถ่จากนางเลื่อนได้การกระทำของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวแล้วเข้าลักษณะกระทำการเป็นคนกลางเรียกทรัพย์สินมิควรได้จากผู้ที่จะให้ค่าไถ่อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 315 แม้โจทก์จะมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่การเรียกค่าไถ่นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำตามที่โจทก์กล่าวหาจำเลยมาในฟ้องแล้วนั่นเอง ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดหรือบทมาตราที่ถูกต้องตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งได้พูดสนับสนุนให้นางเลื่อนหาเงินสองแสนบาทมาไถ่ตัวนายลั่นก็ดี และเมื่อจำเลยที่ 3 มารดาตนได้รับเงินค่าไถ่ 70,000 บาทจากนางเลื่อนแล้ว จำเลยที่ 2 ก็เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปกับจำเลยที่ 3เพื่อไปรับตัวนายลั่นจากคนร้ายที่สะพานท่าปานก็ดีนั้น เป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำการด้วยกันกับจำเลยที่ 3 ในการเป็นคนกลางเรียกเงินค่าไถ่รายนี้
สรุปแล้วศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลย 2 ที่ 3 ยังไม่ถึงขั้นกระทำการจับเอาคนไปหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันกระทำการเป็นคนกลางเรียกทรัพย์สินมิควรได้จากผู้ที่จะให้ค่าไถ่อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 315 อย่างไรก็ตามจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้จัดให้นายลั่นผู้ถูกคนร้ายเอาตัวไปได้รับเสรีภาพกลับคืนมาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยนายลั่นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิตแต่อย่างใด จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงชอบที่จะได้รับการลดหย่อนโทษให้น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 315, 316, 309, 337(1), 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 315, 316 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไว้คนละ 7 ปี 6 เดือนนอกจากที่แก้นี้แล้วให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์