คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2276/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้สินระหว่างโจทก์จำเลย ไม่ใช่หนี้สินที่เกิดแต่งานรับเหมาก่อสร้าง (รายพิพาท) แสดงว่าหนี้สินของโจทก์มิได้เกิดจากกิจการที่จำเลยกระทำการแทนผู้ร้อง กล่าวคือไม่ใช่หนี้สินที่จำเลยก่อขึ้นในฐานะเป็นตัวแทนของผู้ร้องดังนั้นความรับผิดของจำเลยต่อโจทก์ในกรณีนี้จึงไม่ใช่ความรับผิดตามลักษณะตัวแทนที่จะนำมาปรับบังคับใช้แก่ผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 29,239 บาท จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินจำนวน 35,000 บาท ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้เบิกจ่ายให้แก่จำเลย

ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า เงินนั้นเป็นของผู้ร้อง โดยผู้ร้องยืมชื่อของจำเลยเข้ารับเหมาก่อสร้าง และผู้ร้องดำเนินการเองทั้งสิ้น จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างผู้ร้อง จำเลยรับเงินในฐานะตัวแทนของผู้ร้อง ขอให้ถอนการยึด

โจทก์ให้การว่า เงินที่ถูกยึดเป็นเงินของจำเลย จำเลยเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้ร้องสมคบกับจำเลย เพื่อให้จำเลยพ้นจากการชำระหนี้ แม้จะฟังว่าจำเลยเป็นตัวแทนผู้ร้อง ผู้ร้องยอมให้จำเลยออกหน้าเป็นตัวการ ผู้ร้องหาอาจทำให้เสื่อมเสียสิทธิของโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ไม่

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดรายนี้

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามฎีกาของโจทก์ว่าหนี้สินระหว่างโจทก์จำเลย ไม่ใช่หนี้สินที่เกิดแต่งานรับเหมาก่อสร้างรายนี้ แสดงว่าหนี้สินของโจทก์มิได้เกิดจากกิจการที่จำเลยกระทำการแทนผู้ร้อง กล่าวคือไม่ใช่หนี้สินที่จำเลยก่อขึ้นในฐานะตัวแทนของผู้ร้อง ดังนั้นความรับผิดของจำเลยต่อโจทก์ในกรณีนี้จึงไม่ใช่ความรับผิดตามลักษณะตัวแทนที่จะนำมาปรับบังคับใช้แก่ผู้ร้อง ตามฎีกาของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share