คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2827/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเวลากลางคืนแล้วขึ้นคร่อมตัวผู้เสียหายขณะนอนหลับอยู่ในห้อง เมื่อผู้เสียหายตื่น จำเลยใช้มีดปลายแหลมที่ติดตัวมาจ่อราวนมซ้ายผู้เสียหายห้ามมิให้ร้อง มิฉะนั้นจะฆ่าให้ตาย และขณะเดียวกันจำเลยได้ใช้มือลูบไล้ที่ขาผู้เสียหาย ผู้เสียหายขัดขืนร้องขอความช่วยเหลือ จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้เสียหายที่หน้าอกซ้าย 2 แผลที่สะบักขวาด้านหลัง 3 แผล คางซ้าย 1 แผล ขาขวา 3 แผล และที่หัวเข่าซ้าย 2 แผล รวม 11 แผล ด้วยมีดขนาดกว้าง 1 นิ้ว ยาวประมาณ 4 นิ้วเศษ ซึ่งมีขนาดโตพอสมควรที่จะทำอันตรายถึงแก่ชีวิตได้โดยเฉพาะแทงในที่สำคัญเช่นบริเวณหน้าอกซ้าย และสะบักหลัง การที่จำเลยแทงไม่ลึกน่าจะเกิดจากผู้เสียหายดิ้นรนและต่อสู้ จึงทำให้แทงผู้เสียหายไม่ถนัด หาใช่จำเลยมีเพียงเจตนาทำร้ายไม่ พฤติการณ์เช่นนี้ส่อแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว แต่จำเลยแทงผู้เสียหายเพราะเหตุผู้เสียหายไม่ยอมให้จำเลยข่มขืนกระทำชำเราทั้งยังร้องเรียกให้คนช่วยอีกด้วย ทำให้จำเลยเกิดโทสะที่ไม่สามารถกระทำการได้ดังใจ มิใช่แทงทำร้ายเพื่อปกปิดการกระทำผิด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (7), 80 คงผิดตามมาตรา 288, 80.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๔, ๓๖๕,๒๗๘, ๒๘๘, ๒๘๙, ๘๐, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๓ และให้ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๔, ๓๖๕, ๒๗๘, ๒๘๘, ๘๐, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๓ กรณีจำเลยมีอาวุธมีดติดตัวบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืนแล้วกระทำอนาจารเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก ๔ ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุก ๑๐ ปี รวมจำคุก ๑๔ ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๗ ปี ริบปลอกมีดของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๗), ๘๐ ให้จำคุกตลอดชีวิต ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๓ คงให้จำคุก ๒๕ ปี เมื่อรวมโทษฐานกระทำอนาจารที่ศาลชั้นต้นลงโทษอีก ๒ ปี เป็นโทษจำคุก ๒๗ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาตามที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙ (๗), ๘๐ หรือไม่ หรือมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้บุกรุกเข้าไปในบ้านนางวิลเลี่ยมหรืออนงค์ เทพสาธร ผู้เสียหายเวลากลางคืน แล้วขึ้นคร่อมตัวผู้เสียหายขณะนอนหลับอยู่ในห้อง เมื่อผู้เสียหายตื่น จำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมที่นำติดตัวมาจ่อราวนมซ้ายผู้เสียหายห้ามมิให้ร้อง มิฉะนั้นจะฆ่าให้ตาย และขณะเดียวกันจำเลยได้ใช้มือลูบไล้ไปที่ขาผู้เสียหายผู้เสียหายขัดขืนร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้เสียหายรวม ๑๑ แผล คือบาดแผลที่หน้าอกซ้าย๒ แผล ที่สะบักขวาด้านหลัง ๓ แผล คางซ้าย ๑ แผล ขาขวา ๓ แผลและที่หัวเข่าซ้าย ๒ แผล โจทก์นำนายแพทย์อนันตพร ศุภวโรดมนายแพทย์โรงพยาบาลแพร่ซึ่งเป็นผู้ตรวจและรักษาบาดแผลผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า บาดแผลที่หน้าอกด้านซ้าย ๒ แผล และที่สะบักหลังด้านขวา ๒ แผล ไม่ต้องผ่าตัดเพราะเป็นบาดแผลตื้นไม่ลึก ซึ่งปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องว่าลึก ๒ เซนติเมตร เฉพาะบาดแผลที่หน้าอกด้านซ้ายนั้นพยานเบิกความว่าหากได้รับอันตรายจากของมีคมและแหลมลึกลงไปแล้วจะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้เพราะจะลึกตรงเข้าไปถูกหัวใจและปอด ปรากฏว่าผู้เสียหายต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ๗ วันจึงกลับบ้านได้ ส่วนปลอกมีดของกลางมีความยาว ๕ นิ้วครึ่งจำเลยรับว่าตัวมีดกว้าง ๑ นิ้ว ยาวประมาณ ๔ นิ้วเศษ เป็นมีด๒ คม ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๔ จึงเป็นมีดที่สามารถแทงผู้เสียหายให้ทะลุถึงหัวใจและปอดได้ เห็นว่าจำเลยแทงผู้เสียหายถึง ๑๑ แผล ด้วยมีดที่มีขนาดโตพอสมควรที่จะทำอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โดยเฉพาะแทงในที่สำคัญเช่นบริเวณหน้าอกซ้าย ๒ แผล และสะบักหลังด้านขวาถึง ๓ แผล พฤติการณ์เช่นนี้ส่อแสดงว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย การที่แทงไม่ลึกน่าจะเกิดจากผู้เสียหายดิ้นรนและต่อสู้ตามที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ใช้เท้าถีบและใช้มือตีจำเลย จึงทำให้แทงผู้เสียหายไม่ถนัดและไม่ลึกจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หาใช่จำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายดังฎีกาจำเลยไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยแทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า ข้อที่ต้องวินิจฉัยต่อไปก็คือ จำเลยเจตนาฆ่าผู้เสียหายเพื่อปกปิดการกระทำผิดฐานบุกรุกและอนาจารของจำเลยดังฟ้องหรือไม่ ปัญหาข้อนี้เห็นว่าจำเลยแทงผู้เสียหายเพราะเหตุผู้เสียหายไม่ยอมให้จำเลยข่มขืนกระทำชำเราทั้งยังร้องเรียกให้คนช่วยอีกด้วย ทำให้จำเลยเกิดโทสะที่ไม่สามารถกระทำการได้ดังใจจำเลยมากกว่ามิใช่แทงทำร้ายเพื่อปกปิดการกระทำผิดของจำเลยแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙ (๗), ๘๐ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share