คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยหัวเราะ เมื่อผู้เสียหายสอบถามจำเลย จำเลยก็ไม่ตอบผู้เสียหายพูดว่าจะเตะ จำเลยว่าจะเตะก็ลองดู ผู้เสียหายจึงต่อยจำเลยแล้วเกิดต่อสู้กันขึ้น แสดงว่าจำเลยและผู้เสียหายสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายกันและกัน เมื่อจำเลยสู้ไม่ได้จึงกลับบ้านนำอาวุธปืนมายิงผู้เสียหายหลังเกิดเหตุแล้วประมาณ 15 นาที การที่จำเลยยิงผู้เสียหายจึงไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น เมื่อปรากฏว่าขณะกระทำความผิดจำเลยอายุเกิน 17 ปีแล้วการที่ศาลชั้นต้นลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75 ย่อมไม่ถูกต้อง สมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยปรับบทลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา 76

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 80, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิคืนอาวุธปืนของกลางแก่เจ้าของ ริบหัวกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 เรียงกระทงลงโทษ จำเลยอายุ 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 75 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุก 5 ปีรวมจำคุก 6 ปี คืนอาวุธปืนของกลางแก่เจ้าของ ริบหัวกระสุนปืนกับปลอกกระสุนปืนของกลาง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 72 จำคุก 2 ปี รวมกับโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เป็นจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว สำหรับข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้น จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ความผิดตามข้อหานี้จึงเป็นอันยุติ คดีคงมีปัญหาในชั้นนี้เพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ จำเลยนำสืบว่าเมื่อจำเลยหัวเราะแล้ว ผู้เสียหายเข้ามาตบศีรษะจำเลยนั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงน่าเชื่อตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า เมื่อจำเลยหัวเราะแล้วผู้เสียหายได้สอบถามจำเลยแต่จำเลยไม่ตอบ ผู้เสียหายจึงพูดว่าจะเตะ จำเลยว่าจะเตะก็ลองดู แล้วผู้เสียหายจึงต่อยจำเลยแล้วเกิดต่อสู้กัน แสดงว่าจำเลยกับผู้เสียหายสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายกันและกันแล้ว จำเลยสู้ผู้เสียหายไม่ได้จำเลยจึงกลับบ้านแล้วนำอาวุธปืนของกลางมายิงผู้เสียหาย 4 นัดปรากฏรายละเอียดบาดแผลตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า บ้านของจำเลยอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับที่เกิดเหตุ ซึ่งใช้เวลาเดินไปและกลับจะเป็นเวลาประมาณไม่เกิน5 นาที นายเรียม แป๊ะตะเภา พยานโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างทำงานที่โรงเลื่อยจักรกระบุรี โดยบิดาของจำเลยเป็นผู้ควบคุมงานและมีตำแหน่งทางราชการเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเบิกความว่า ขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น ผู้เสียหายมาบอกว่าผู้เสียหายได้ชกต่อยจำเลยแล้วนายเรียมจึงตักเตือนผู้เสียหายเนื่องจากทำงานอยู่ที่เดียวกันผู้เสียหายก็รับปากว่าจะไปทำความเข้าใจกับจำเลย ต่อมาประมาณ15 นาที จำเลยได้นำอาวุธปืน 1 กระบอกเหน็บเอวมาแล้วไปพูดกับผู้เสียหาย นายเรียมกำชับให้ทำความเข้าใจต่อกัน จนอีก 15 นาทีจำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย และนายพงษ์ศักดิ์ ข้ามสมุทรพยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อจำเลยกับผู้เสียหายชกต่อยกันนายพงษ์ศักดิ์ได้เข้าไปห้ามจนหยุดชกต่อยกันแล้ว จำเลยแยกกลับไปบ้าน ส่วนผู้เสียหายกลับไปทำงาน ต่อมาประมาณ 15 นาที จำเลยได้ย้อนกลับมาโดยมีอาวุธปืนเหน็บเอวมาด้วย แล้วจำเลยยิงผู้เสียหายพยานโจทก์ทั้งสองต่างทำงานร่วมกับจำเลยและผู้เสียหายโดยไม่เคยมีสาเหตุใดกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำกลั่นแกล้งจำเลย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่านับแต่จำเลยแยกกลับบ้านและได้ย้อนกลับมายังที่เกิดเหตุนั้น เป็นเวลาหลังเกิดเหตุแล้วประมาณ 15 นาที การที่จำเลยยิงผู้เสียหายจึงมิใช่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อนี้ฟังขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีอายุสิบเจ็ดปี ให้ลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75 นั้น ปรากฏตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.7 ว่าจำเลยเกิดวันที่ 8 มิถุนายน 2510 นับถึงวันที่ 21 กันยายน 2527ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ จำเลยอายุเกินสิบเจ็ดปีแล้ว กรณีจึงไม่อาจลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ สมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 จำเลยอายุกว่าสิบเจ็ดปีแต่ไม่เกินยี่สิบปีลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามมาตรา 76 จำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share