คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4165/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยและมีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตลอดจนหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลยโดยการปิดหมายนั้น ณ ภูมิลำเนาจำเลยตามหลักฐานทางทะเบียนบ้าน เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้อยู่ที่ภูมิลำเนาดังกล่าว หากแต่จำเลยไปอยู่บ้านมารดาจำเลย และจำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง แม้จำเลยจะได้ระบุบ้านจำเลยตามที่ปิดหมายในคำฟ้อง คำขอและคำแถลงในคดีอื่นที่จำเลยฟ้องโจทก์ก็เป็นการที่จำเลยระบุตามหลักฐานทางทะเบียนบ้าน กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัด ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยขาดนัด แม้โจทก์จะได้เปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินจากจำเลยมาเป็นของโจทก์อันถือเป็นการบังคับตามคำพิพากษาแล้วก็ตาม แต่เมื่อยังมิได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยทราบกำหนดเวลาสิบห้าวันที่ขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 จึงยังไม่เริ่มนับ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจาก โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นพิจารณาสืบโจทก์ไปฝ่ายเดียวและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ โดยอ้างว่า ไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องหากจำเลยทราบย่อมต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีและนำพยานเข้าสืบ ซึ่งจะชนะคดีอย่างแน่นอน จำเลยไม่ได้จงใจขาดนัดขอให้ศาลยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทราบว่าถูกฟ้องคดีนี้ และจงใจขาดนัด จำเลยไม่มีทางชนะคดีได้ ไม่มีเหตุที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่และล่วงเลยกำหนดเวลาที่จะขอให้พิจารณาใหม่แล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว สำหรับปัญหาข้อแรกตามฎีกาโจทก์ที่ว่า จำเลยขาดนัดโดยจงใจโดยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องหรือไม่นั้นเห็นว่า การที่จำเลยระบุในคำฟ้อง คำร้อง คำขอและคำแถลงในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ขอหย่าโดยระบุว่าจำเลยอยู่บ้านเลขที่ 657/159เป็นการระบุตามหลักฐานทางทะเบียนบ้านของจำเลย พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักฟังได้ว่าขณะโจทก์ฟ้องจำเลย ในคดีนี้และระหว่างที่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตลอดจนหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลยโดยการปิดหมายนั้น จำเลยมิได้อยู่ที่ภูมิลำเนาตามหลักฐานทางทะเบียนบ้านตามที่โจทก์ระบุในคำฟ้อง หากแต่จำเลยไปอยู่ที่บ้านมารดาจำเลย และจำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัด
ส่วนปัญหาข้อต่อไปตามฎีกาโจทก์ที่ว่า จำเลยยื่นคำร้องล่วงเลยเวลาที่จะขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก บัญญัติว่า”คำขอให้พิจารณาใหม่นั้นให้ยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย แต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ห้ามมิให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น” คดีนี้ได้ความจากนางสาวประนอม อินทรตุล เจ้าหน้าที่ธุรการ 3 กรมบังคับคดี ซึ่งมีหน้าที่ดูแลหมายที่ส่งไปจากศาลพยานจำเลยว่า โจทก์มิได้นำส่งคำบังคับให้จำเลยทราบ และกรมบังคับคดีได้ส่งคำบังคับคืนศาลแล้ว ดังนี้ เมื่อยังมิได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยทราบ กำหนดเวลาสิบห้าวันจึงยังไม่เริ่มนับ ส่วนที่โจทก์ได้เปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินจากจำเลยมาเป็นของโจทก์เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2530 อันถือเป็นการบังคับตามคำพิพากษาก็ตาม แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์2531 ก็ยังอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาหกเดือนตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงยังไม่ล่วงเลยเวลาตามกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share