คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3103/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เหตุมิได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสีคิ้ว และจำเลยทั้งสองไม่เคยมีที่อยู่หรือถูกจับหรือถูกสอบสวนในท้องที่ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสีคิ้ว ศาลจังหวัดสีคิ้วจึงไม่มีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีนี้ ขณะยื่นฟ้องคดี จำเลยทั้งสองกำลังต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดอยู่ที่เรือนจำซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสีคิ้วเรือนจำก็หาใช่ท้องที่ที่จำเลยทั้งสองมีที่อยู่ไม่ และแม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535 จะบัญญัติให้เรือนจำหรือทัณฑสถาน ที่ผู้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายถูกจำคุกอยู่เป็นภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกจนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว บทบัญญัติดังกล่าวก็มีผลใช้บังคับภายหลังที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว ไม่อาจถือว่าในขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี ซึ่งเหตุเกิดที่ตำบลสามเมืองอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยเสร็จแล้ว เห็นว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งประทับฟ้อง มีคำสั่งใหม่ว่าไม่รับฟ้อง ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดอาญาที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทยต้องชำระที่ศาลซึ่งความผิดเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจหรือจะชำระที่ศาลซึ่งท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่หรือถูกจับหรือเจ้าพนักงานทำการสอบสวนอยู่ในเขตอำนาจก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 วรรคหนึ่ง และมาตรา 22(1) เมื่อคดีนี้เหตุมิได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสีคิ้ว และจำเลยทั้งสองก็ไม่เคยมีที่อยู่หรือถูกจับหรือถูกสอบสวนในท้องที่ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสีคิ้ว ศาลจังหวัดสีคิ้วจึงไม่มีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีนี้ แม้ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้จำเลยทั้งสองกำลังต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดอยู่ที่เรือนจำกลางคลองไผ่ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสีคิ้วก็ตามเรือนจำกลางคลองไผ่ก็หาใช่ท้องที่ที่จำเลยทั้งสองมีที่อยู่ไม่และแม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535 จะบัญญัติให้เรือนจำหรือทัณฑสถาน ที่ผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายถูกจำคุกอยู่เป็นภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกจนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว บทบัญญัติดังกล่าวก็มีผลใช้บังคับภายหลังที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้แล้วไม่อาจถือว่าในขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำกลางคลองไผ่
พิพากษายืน

Share