คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ทั้งแปดฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นการฟ้องเรียกร้องให้ได้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งแปดผู้เป็นทายาทของเจ้ามรดกคดีของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาของที่ดินพิพาท เมื่อโจทก์ทั้งแปดทิ้งฟ้องโดยไม่เสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินพิพาทภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะกำหนดเวลาให้โจทก์ทั้งแปดนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางศาลอีกต่อไป แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งแปดที่จะฟ้องคดีนี้ใหม่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 และให้ส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า การซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 และการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2 กับที่ 3ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งแปด โจทก์ทั้งแปดไม่มีอำนาจฟ้องและเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 มิใช่คู่สัญญาหรือเกี่ยวข้องในการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3จำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยสุจริต โจทก์ทั้งแปดไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 การที่โจทก์ทั้งแปดฟ้องจำเลยที่ 3 ทำให้จำเลยที่ 3 เสียหายขายที่ดินพิพาทไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ทั้งแปดร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 3
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 3 คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้จำเลยที่ 3 แล้วชี้สองสถานโดยกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อนในวันที่ 20 สิงหาคม 2533 เวลา 9 นาฬิกา ต่อมาวันที่ 9สิงหาคม 2533 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินพิพาทก่อนวันที่ 20 สิงหาคม 2533 โดยให้ใช้ราคา 500,000 บาทเป็นราคาที่ดินพิพาท หากมีการโต้แย้งสูงกว่าราคานี้จะพิจารณาสั่งต่อไป ไม่เสียในกำหนดถือว่าทิ้งฟ้อง เมื่อถึงวันที่ 20 สิงหาคม2533 ปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลตามคำสั่งศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่เสียค่าขึ้นศาลตามคำสั่ง ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์ทั้งแปดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งแปดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัยหาที่จะต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ทั้งแปดฎีกาว่า คดีของโจทก์เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์หรือไม่เห็นว่า การที่โจทก์ทั้งแปดฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 2และที่ 3 ในคดีนี้นั้น เป็นการฟ้องเรียกร้องให้ได้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งแปดผู้เป็นทายาทของนางฟ้อย คดีของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาของที่ดินพิพาทนั้น ฎีกาของโจทก์ทั้งแปดข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ทั้งแปดฎีกาขอให้ศาลฎีกากำหนดเวลาไม่น้อยกว่า15 วัน เพื่อให้โจทก์ทั้งแปดนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางศาล หากประสงค์จะดำเนินคดีนี้ต่อไปนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ทั้งแปดทิ้งฟ้องโดยไม่เสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินพิพาทภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะกำหนดเวลาให้โจทก์ทั้งแปดนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางศาลอีกต่อไป ฎีกาของโจทก์ทั้งแปดข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งแปดที่จะฟ้องคดีนี้ใหม่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ”.

Share