แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ลานจอดรถเป็นของจำเลยจัดให้ผู้มาพักโรงแรมของจำเลยได้จอดรถ น. ซึ่งเป็นคนเดินทางจึงมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะนำรถยนต์เข้าไปจอดภายในบริเวณลานจอดรถดังกล่าวซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย ส่วนที่จำเลยปิดประกาศไม่รับผิดชอบหากเกิดการสูญหายของทรัพย์สิน ก็ไม่ปรากฏว่า น. ได้ตกลงด้วยโดยชัดแจ้งในการยกเว้นความรับผิดตามประกาศดังกล่าว กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 677 และในการจอดรถน. ได้ปิดล็อกประตูรถทุกบานแล้วเพราะเป็นระบบเซ็นทรัลล็อก ย่อมถือได้ว่า น. มิได้ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์สูญหาย กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นความรับผิดตามมาตรา 675 วรรคสาม
รถยนต์เป็นเพียงทรัพย์สินธรรมดาทั่ว ๆ ไป เท่านั้น ถึงแม้ราคาจะค่อนข้างสูงก็ตาม ยังถือไม่ได้ว่ามีลักษณะเป็นของมีค่าตามมาตรา 675 วรรคสอง น. ไม่จำต้องแจ้งฝากรถยนต์ไว้ต่อจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 354,458 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 350,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยก่อนฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 ธันวาคม 2539) ต้องไม่เกิน4,458 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2539 เวลาประมาณ 23 นาฬิกา นายเนตร ศรีเกาะ ลูกจ้างของบริษัทรีไลแอนซ์ แทรเวิล(ประเทศไทย) จำกัด ได้ปฏิบัติหน้าที่ขับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าหมายเลขทะเบียน3 ฝ – 4834 กรุงเทพมหานคร ของนายจ้าง พานักท่องเที่ยวซึ่งเป็นลูกค้าของนายจ้างไปพักที่โรงแรมของจำเลย โดยนายเนตรจอดรถยนต์ไว้ที่บริเวณลานจอดรถของจำเลย ครั้นวันรุ่งขึ้นปรากฏว่ารถยนต์ถูกลักไป นายเนตรเข้าร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอกวชิระ กาญจนวิภาดา พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงใหม่ ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.10 ต่อมาโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวจากบริษัทรีไลแอนซ์ แทรเวิล (ประเทศไทย) จำกัด กำหนดจำนวนเงินรับผิดกรณีถูกลักทรัพย์ไว้คือ 350,000 บาท ตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เอกสารหมาย จ.4 ได้ชำระเงินตามกรมธรรม์ดังกล่าวแล้ว และฟ้องไล่เบี้ยเรียกเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลยเป็นคดีนี้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ลานจอดรถมิใช่ที่เก็บทรัพย์สินของผู้มาพักในโรงแรมจำเลย จำเลยได้ปิดประกาศไม่รับผิดชอบในกรณีเกิดความสูญหายต่อทรัพย์สินของผู้มาใช้บริการไว้ที่ลานจอดรถแล้ว รถยนต์สูญหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายเนตร ศรีเกาะ อีกทั้งนายเนตรก็มิได้แจ้งฝากรถยนต์ไว้ต่อจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง เห็นว่า จำเลยรับอยู่แล้วว่าลานจอดรถดังกล่าวเป็นของจำเลยจัดให้ผู้มาพักโรงแรมของจำเลยได้จอดรถ นายเนตรจึงมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะนำรถยนต์เข้าไปจอดภายในบริเวณลานจอดรถดังกล่าวซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย ส่วนการที่จำเลยปิดประกาศไม่รับผิดชอบหากเกิดการสูญหายของทรัพย์สินตามภาพถ่ายหมาย ล.1 (รวม 4 รายการ) ก็ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยซึ่งมีพยานเพียงปากเดียวคือนางสาวมยุรี สุริยพงษ์ กรรมการผู้จัดการจำเลยว่า นายเนตรได้ตกลงด้วยโดยชัดแจ้งในการยกเว้นความรับผิดตามประกาศดังกล่าว กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 677 และสำหรับข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นกล่าวอ้างเป็นประเด็นฎีกาว่า รถยนต์สูญหายเพราะความประมาทเลินเล่อของนายเนตร ความสูญหายเกิดขึ้นเพราะความผิดของนายเนตร อีกทั้งนายเนตรก็มิได้แจ้งฝากรถยนต์ไว้ต่อจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่า โจทก์มีนายเนตรเป็นพยานเบิกความตอบคำถามค้านทนายความจำเลยว่า นายเนตรได้ปิดล็อกประตูรถทุกบานแล้วเพราะเป็นระบบเซ็นทรัลล็อกซึ่งย่อมถือได้ว่านายเนตรมิได้ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์สูญหาย คำเบิกความของนางสาวมยุรีก็เพียงแต่อ้างว่าตรวจบริเวณเกิดเหตุไม่มีร่องรอยเศษกระจกตกหล่นอยู่ สันนิษฐานว่านายเนตรมิได้ล็อกรถ แต่หามีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนไม่ จึงไม่อาจรับฟังหักล้างคำเบิกความของนายเนตรได้ กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675 วรรคสามส่วนเรื่องการที่นายเนตรมิได้แจ้งฝากรถยนต์ไว้ต่อจำเลยนั้น เห็นว่า ความรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางสูญหายไปจำกัดไว้เพียงห้าร้อยบาท หมายถึงทรัพย์สินที่มีคุณค่าอันมีลักษณะพิเศษทำนองเดียวกับเงินทองตรา ธนบัตรตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675 วรรคสองแต่รถยนต์เป็นเพียงทรัพย์สินธรรมดาทั่ว ๆ ไปเท่านั้น ถึงแม้ราคาจะค่อนข้างสูงก็ตาม ยังถือไม่ได้ว่ามีลักษณะเป็นของมีค่าตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว นายเนตรไม่จำต้องแจ้งฝากรถยนต์ไว้ต่อจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน