คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยขายรถยนต์และเครื่องนวดข้าวให้โจทก์ โจทก์ชำระเงินแล้วบางส่วนและยังค้างชำระส่วนที่เหลือ หลังจากนั้น 7 เดือนเศษจำเลยกับพวกไปหาโจทก์ที่บ้านแต่ไม่พบ แต่ได้บอกภริยาบุตรและน้องชายโจทก์ว่าจะเอารถยนต์และเครื่องนวดข้าวไป แล้วได้ยึดรถยนต์และเครื่องนวดข้าวกลับไปเก็บไว้ที่บ้านจำเลยเพราะโจทก์ยังชำระเงินส่วนที่เหลือไม่ครบ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการใช้อำนาจบังคับตามสิทธิของเจ้าหนี้โดยพลการ มิได้ดำเนินการฟ้องร้องบังคับให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการกระทำโดยเจตนาให้โจทก์ลูกหนี้ใช้หนี้ค่ารถยนต์และเครื่องนวดข้าวที่ค้างชำระเท่านั้น หาได้มีเจตนาลักเอาไปโดยทุจริตไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และให้จำเลยคืนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 8 ข-2648 มหาสารคาม พร้อมเครื่องนวดข้าวแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 จำคุก 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์หมายเลขทะเบียน8 ข-2648 มหาสารคาม พร้อมเครื่องนวดข้าวแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพยาน 2 ปาก ได้แก่ตัวโจทก์และนายทวี เจรจา น้องชายโจทก์ ตามคำเบิกความของพยานทั้งสองได้ความว่าในวันทำสัญญาซื้อรถยนต์และเครื่องนวดข้าวจากจำเลย โจทก์และนายทวีไปพบกับจำเลยด้วยกัน และวันที่ฝ่ายจำเลยไปยึดรถยนต์และเครื่องนวดข้าวที่บ้านโจทก์ โจทก์ไม่อยู่บ้านคงมีแต่ภริยาบุตรชายโจทก์และนายทวีแวะไปที่บ้านโจทก์พอดี นายทวีเบิกความไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า วันเกิดเหตุพบจำเลยกับลูกน้อง 3 ถึง 4 คน จำเลยถามหาโจทก์ นายทวีบอกว่าโจทก์ไม่อยู่ จำเลยบอกว่าจะเอารถยนต์และเครื่องนวดข้าวไป แล้วให้ลูกน้องขับรถยนต์ออกไป และโจทก์เบิกความว่า ภายหลังจากจำเลยยึดรถยนต์และเครื่องนวดข้าวไปแล้ว 2 ถึง 3 วัน โจทก์ตามไปที่โรงงานของจำเลยพบรถยนต์และเครื่องนวดข้าว จำเลยบอกให้โจทก์นำเงินค่ารถยนต์และเครื่องนวดข้าวที่ค้างชำระทั้งหมดไปชำระก่อน โจทก์นำเงินไปชำระให้100,000 บาท จำเลยไม่ยอมคืนรถยนต์และเครื่องนวดข้าวบอกว่าต้องนำเงินไปชำระให้ครบ เห็นว่าตามคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าเมื่อฝ่ายจำเลยนำรถยนต์และเครื่องนวดข้าวที่บ้านโจทก์ไป โจทก์ได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีแก่จำเลย แต่กลับได้ความว่า หลังจากนั้นอีก 2 ถึง 3 วัน โจทก์ได้นำเงินไปชำระให้จำเลยอีก 100,000 บาท แต่ก็ยังไม่ครบจำนวน เป็นการยอมรับว่า จำเลยยึดรถยนต์และเครื่องนวดข้าวกลับไปเพราะโจทก์ยังชำระเงินส่วนที่เหลือไม่ครบถึงได้นำเงินส่วนที่ค้างชำระไปชำระให้จำเลยอีก และพฤติการณ์ของฝ่ายจำเลยในการยึดรถยนต์และเครื่องนวดข้าวคืนก็ได้กระทำโดยเปิดเผยในเวลากลางวันต่อหน้าภริยาบุตรชายโจทก์และนายทวีน้องชายโจทก์ ก่อนจะยึดทรัพย์ไป มีการตามหาตัวโจทก์และบอกกล่าวว่าจะเอารถยนต์และเครื่องนวดข้าวไปและก็ได้เอาไปเก็บไว้ที่บ้าน จำเลยซึ่งเป็นที่ทำการขายรถยนต์ด้วย เห็นได้ว่าเป็นการใช้อำนาจบังคับตามสิทธิของเจ้าหนี้โดยพลการ มิได้ดำเนินการฟ้องร้องบังคับให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการกระทำโดยเจตนาให้โจทก์ลูกหนี้ใช้หนี้ค่ารถยนต์และเครื่องนวดข้าวที่ค้างชำระเท่านั้นหาได้มีเจตนาลักเอาไปโดยทุจริตไม่ จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share