แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ร่วมยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานซึ่งเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ส่วนข้อที่ว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับข้อพิรุธของเด็กหญิงนวลศรีศรีสกุล มิได้ปรากฏอยู่ในสำนวนนั้น ก็ปรากฏโดยชัดแจ้งซึ่งข้อที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยแล้ว ฎีกาในส่วนนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาเป็นที่ยุติแล้วในศาลอุทธรณ์นั้น ศาลอุทธรณ์ได้รับฟังพยานหลักฐานในสำนวนความคลาดเคลื่อน ทั้งวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนความหรือไม่ และการที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์โดยมิได้รับฟังพยานแวดล้อมกรณีของโจทก์และโจทก์ร่วม ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าด้วยการรับฟังหลักฐานเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 82 แผ่นที่ 2)โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334,336 ทวิ
ระหว่างพิจารณา นางหลินศรีสกุล ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 76)
โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ที่แก้ไขใหม่ ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ร่วมนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง