แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์หลายคนแต่งตั้งโจทก์คนใดคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นผู้แทนดำเนินคดีแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 35 และข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการแต่งตั้งผู้แทนโจทก์ในการดำเนินคดีลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2523 ข้อ 1 เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดวิธีการแต่งตั้งไว้โดยเฉพาะ แตกต่างจากการที่คู่ความในคดีแพ่งธรรมดามอบอำนาจหรือตั้งให้บุคคลอื่นเป็นผู้แทนในการดำเนินคดีอันจะต้องปฏิบัติตามประมวลรัษฎากร เอกสารแสดงการแต่งตั้งดังกล่าวจึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์
โจทก์ฟ้องเรียกเงินสะสม เงินสมทบและค่าจ้างที่ค้างชำระ เมื่อคำฟ้องของโจทก์บรรยายถึงสิทธิของโจทก์และหน้าที่ของจำเลย รวมทั้งข้อโต้แย้งที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับการทำงาน และคำขอบังคับในจำนวนเงินที่โจทก์พึงมีสิทธิได้รับ แม้จะไม่ระบุว่าจะเลยหักเงินสะสมไว้อย่าไร เพียงใด และรายละเอียดของเงินสมทบมีมาอย่างไร คำฟ้องของโจทก็แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว
ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์ทุกคนได้ลาออกจากบริษัทจำเลยซึ่งหมายความว่าสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลงแล้ว การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่สิ้นสุด เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยจะต้องรับผิดจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบให้โจทก์หรือไม่จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๘๙ แต่งตั้งให้โจทก์ที่ ๒๒ กับที่ ๓๕ เป็นผู้แทนในการดำเนินคดี และโจทก์ที่ ๙๐ ถึงที่ ๙๓ แต่งตั้งให้โจทก์ที่ ๙๑ เป็นผู้แทนในการดำเนินคดี โจทก์ทั้งหมดเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยและได้เข้าร่วมตามระเบียบว่าด้วยเงินสะสมและเงินสมทบ จำเลยจะหักเงินเดือนของโจทก์ร้อยละสิบทุกงวดการจ่ายเงินเป็นเงินสะสมและจะจ่ายคืนให้เมื่อโจทก์ออกจากการเป็นลูกจ้าง โดยจำเลยจะจ่ายเงินสมทบให้โจทก์เป็นสัดส่วนกับเงินสะสมตามจำนวนปีที่ทำงานด้วย เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๒๘ จำเลยและบริษัทกรรณสูต เจเนอรัล แอสเซมบลี จำกัด ทำสัญญาเช่าและโอนกิจการของจำเลยให้บริษัทนิวเอร่า จำกัด บริษัทนิวเอร่า จำกัดตกลงจ้างโจทก์ทั้งหมดต่อจากจำเลย โดยโจทก์ทั้งหมดต้องลาออกจากการเป็นลูกจ้างจำเลย โจทก์ทั้งหมดจึงลาออกจากบริษัทจำเลยตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๒๘ แต่จำเลยไม่จ่ายเงินสะสมกับเงินสมทบให้โจทก์ และจำเลยยังค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ที่ ๙๐ และ ๙๑ คนละ ๑,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยชำระเงินสะสม เงินสมทบ และค่าจ้างที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ย สำหรับโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๘๙ นับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๘ สำหรับโจทก์ที่ ๙๐ ถึงที่ ๙๓ นับแต่วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๘
จำเลยให้การว่า ผู้แทนโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะบันทึกแสดงการแต่งตั้งไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร จำเลยไม่ได้ค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ที่ ๙๐ และที่ ๙๑ โจทก์ไม่ได้เป็นสมาชิกเงินสะสมและจำเลยไม่ได้หักค่าจ้างโจทก์ตามระเบียบเงินสะสม โจทก์ไปทำงานกับบริษัทนิวเอร่า จำกัด ตามข้อตกลงในสัญญารับโอนลูกจ้างระหว่างจำเลยกับบริษัทนิวเอร่า จำกัด โดยได้รับค่าจ้างอัตราเท่าเดิมและนับระยะเวลาการทำงานต่อไป จึงไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างหรือลาออก สิทธิเรียกร้องเงินสมทบของโจทก์ยังไม่เกิด ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ระบุข้อเท็จจริงว่าจำเลยหักเงินสะสมอย่างไร เพียงใดไม่มีรายละเอียดว่าเงินสมทบมีมาอย่าไร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินสะสม เงินสมทบและค่าจ้างที่ค้างจ่ายตามฟ้องแก่โจทก์ เว้นแต่เงินสะสมของโจทก์ที่ ๘๙ ให้จ่ายเพียง ๘๙๖ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การแต่งตั้งผู้แทนโจทก์ให้ดำเนินคดีแทนในกรณีที่โจทก์หลายคนแต่งตั้งโจทก์คนหนึ่งหรือหลายคนเป็นผู้แทนดำเนินคดีแรงงานเป็นกรณีที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน -และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๕ และข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการแต่งตั้งผู้แทนโจทก์ในการดำเนินคดีลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ ข้อ ๑, ๓ และ ๕ กำหนดวิธีการแต่งตั้งโดยเฉพาะแตกต่างไปจากการที่คู่ความในคดีแพ่งธรรมดามอบอำนาจ หรือตั้งตัวแทนให้บุคคลอื่นเป็นผู้แทนในการดำเนินคดีอันจะต้องปฏิบัติตามประมวลรัษฎากร แม้เอกสารแสดงการแต่งตั้งดังกล่าวจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ผู้แทนโจทก์ก็มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์
ในปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุม ตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงสิทธิของโจทก์และหน้าที่ที่จำเลยต้องปฏิบัติ รวมทั้งข้อโต้แย้งที่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับการทำงาน และคำขอบังคับในจำนวนเงินที่โจทก์พึงมีสิทธิได้รับตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๔ คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ส่วนปัญหาเรื่องจำเลยต้องจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบให้โจทก์หรือไม่ จำเลยอุทธรณ์เป็นใจความว่า จำเลยได้โอนกิจการที่มีอยู่ทั้งหมดให้บริษัทนิวเอร่า จำกัด และได้ทำหนังสือสัญญากันไว้ตามเอกสารหมาย จ.๑๒ ถึงแม้ข้อ ๖.๓.๑ ให้พนักงานลาออกก็จริง แต่ในข้อ ๖.๓.๒. ข้อ ๖.๓.๓. ข้อ ๖.๓.๔ และข้อ ๗ ก็ได้กำหนดชัดถึงสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ต่อบริษัทนิวเอร่า จำกัด ประกอบกับเอกสารหมาย จ.๑๐ ต้องถือว่าสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่สิ้นสุดลงและไม่ปรากฏว่าบริษัทนิวเอร่า จำกัด ได้เลิกจ้างโจทก์หรือไม่อย่างไร สิทธิเรียกร้องเงินสะสมและเงินสมทบของโจทก์ยังไม่เกิดขึ้นนั้น ในปัญหาข้อนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าสัญญาเช่าทรัพย์สิน เอกสารหมาย จ.๑๒ ข้อ ๖.๓.๑ ระบุไว้ชัดว่าให้พนักงานทำหนังสือลาออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยโดยไม่มีเงื่อนไข และไม่เรียกร้องใด ๆ จากจำเลยก่อน บริษัทนิวเอร่า จำกัด จึงจะรับเข้าทำงาน การที่พวกโจทก์ทุกคนเข้าทำงานกับบริษัทนิวเอร่า จำกัด จึงแสดงว่าโจทก์ทุกคนได้ลาออกจากบริษัทจำเลยแล้ว โจทก์ทุกคนจึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ประกอบกับระเบียบข้อบังคับสำหรับพนักงาน เอกสารหมาย จ.๓ หมวด ๗ ข้อ ๒๗ ว่าด้วยระเบียบการเรื่องเงินสะสมและเงินสมทบ ข้อ ๒๗.๑๑ กำหนดว่า พนักงานมีสิทธิถอนเงินสะสมคืนได้ในกรณีที่ลาออกกรณีหนึ่ง และข้อ ๒๗.๑๔ กำหนดว่าบริษัทจะจ่ายเงินสมทบให้กับพนักงานในกรณีที่พนักงานลาออกโดยไม่มีความผิดและความเสียหายเช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยข้อสุดท้ายนี้เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟัง เอกสารหมาย จ.๑๒ ของศาลแรงงานกลาง ที่ฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นเป็นยุติว่า โจทก์ทุกคนได้ลาออกจากบริษัทจำเลย ซึ่งก็มีความหมายว่าสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยได้สิ้นสุดลงแล้ว การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่สิ้นสุดลง จึงเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาแล้วว่า โจทก์ทุกคนได้ลาออกจากบริษัทจำเลย และสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยได้สิ้นสุดลงแล้ว เพื่อจะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าจำเลยจะต้องรับผิดจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ แล้วศาลฎีกาแก้ไขดอกเบี้ยของเงินสมทบสำหรับโจทก์ที่ ๙๐ ถึง ๙๓ ซึ่งศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เกินคำขอ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี สำหรับเงินสมทบที่ค้างจ่ายแก่โจทก์ที่ ๙๐ ถึงที่ ๙๓ นับแต่วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง