แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ถูกกล่าวหาเรียกร้องเอาเงินจากว.เพื่อเป็นค่าจ้างในการดำเนินการขอหลักทรัพย์คืนเร็วกว่าปกติ และนำไปติดสินบนแก่ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว กับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวลงลายมือชื่อในคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยได้ดำเนินการดังกล่าวหน้าห้องควบคุมผู้ต้องหาและร้านขายอาหารซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกับศาลชั้นต้น พฤติการณ์เป็นการหลอกลวงเรียกร้องเอาเงินจากประชาชนผู้มาติดต่อศาล ทำให้เกิดความเสียหายแก่สถาบันศาลเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยภายในบริเวณศาลจึงเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31(1)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2535 นายวิชัยแซ่ลี้ ได้ให้ถ้อยคำต่อนายก่อพงศ์ สุวรรณจูฑะ เลขานุการศาลชั้นต้นว่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2535 นายวิชัยได้ติดต่อผู้ถูกกล่าวให้ดำเนินการร้องขอปล่อยนางวิไลหรือภาณี แซ่ลี้พี่สาวของตนชั่วคราวในระหว่างสอบสวนตามคดีหมายเลขดำที่พย.2160/2535 ของศาลชั้นต้น ผู้ถูกกล่าวหาได้เรียกร้องเงิน500,000 บาท เพื่อเป็นสินบนแก่ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
ผู้ถูกกล่าวหาให้ถ้อยคำว่า ไม่เคยเรียกร้องเงินเพื่อใช้เป็นสินบนให้แก่ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ปล่อยนางวิไลชั่วคราว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1), 33 ให้จำคุก 6 เดือน
ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2535 มีผู้มาติดต่อผู้ถูกกล่าวหาให้ดำเนินการร้องขอปล่อยชั่วคราวนางวิไลหรือภาณี แซ่ลี้ผู้ต้องหาซึ่งอยู่ในระหว่างสอบสวนตามคดีหมายเลขดำที่ พย.2160/2535ของศาลชั้นต้น ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ถูกกล่าวหามีว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ ตามทางไต่สวนมีนายวิชัย แซ่ลี้ นายณรงค์ศักดิ์ ผิวกากี นางสาวเบญจาภา ภู่พฤกษาและ นางหยี พรมหบดินทร์ เป็นพยาน นายวิชัยเบิกความว่า พยานรู้จักผู้ถูกกล่าวหาโดยนายไพศาลหรือหมีไม่ทราบนามสกุลแนะนำให้รู้จักเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2535 ขณะที่พยานมาติดต่อขอรับหลักประกันที่ใช้ประกันตัวนายพล อัมรินทร์ คืนที่ศาลชั้นต้น นายไพศาลบอกพยานว่าหากว่าจ้างผู้ถูกกล่าวหาดำเนินการขอหลักประกันคืนจากศาลชั้นต้นจะได้เร็วกว่าปกติ พยานจึงว่าจ้างผู้ถูกกล่าวหาดำเนินการให้โดยเสียค่าจ้างเป็นเงิน 500 บาท ต่อมาวันที่ 7 กรกฎาคม 2535นางวิไลหรือภาณี แซ่ลี้ พี่สาวพยานถูกนำตัวมาฝากขังที่ศาลชั้นต้นในข้อหามียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครอง พยานติดต่อผู้ถูกกล่าวหาให้ยื่นคำร้องขอปล่อยนางวิไลชั่วคราว ผู้ถูกกล่าวหาจึงให้พยานโทรศัพท์ไปสอบถามที่บ้าน เมื่อพยานโทรศัพท์ไปหาผู้ถูกกล่าวหาตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ถูกกล่าวหาให้ไว้ตามเอกสารหมายร.1 ผู้ถูกกล่าวหาบอกว่าต้องใช้หลักทรัพย์เป็นเงิน 1,000,000 บาทและนัดมาเจรจากันที่ศาลชั้นต้นในวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 10 นาฬิกาครั้นถึงเวลาตามที่กำหนดไว้ พยาน นายไพศาลหรือหมีนายอู๊ดและนางสาวเบญจาภาได้มาพบผู้ถูกกล่าวหาที่หน้าห้องควบคุมผู้ต้องหาที่ศาลชั้นต้น ผู้ถูกกล่าวหาบอกพยานว่าต้องใช้เงินสดประกัน 1,000,000 บาท และจะต้องเสียเงินสินบนให้ผู้มีอำนาจสั่งปล่อยชั่วคราวนางวิไลอีกเป็นเงิน 500,000 บาท เพราะพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวของนางวิไล พยานมีเงินไม่พอจึงบอกให้ผู้ถูกกล่าวหาช่วยเหลือ ผู้ถูกกล่าวหาขอผัดไปเจรจากับผู้มีอำนาจดังกล่าวก่อน แต่เรียกเงินจากพยานอีก 10,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินเรื่องให้นางวิไลลงลายมือชื่อในคำร้องขอปล่อยชั่วคราว และผู้ถูกกล่าวหานัดพยานกับพวกมาพบกับผู้ถูกกล่าวหาที่ศาลชั้นต้นในวันที่ 9 กรกฎาคม 2535 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา ณที่เดิม เมื่อพยานมาพบผู้ถูกกล่าวหาแล้วครั้งนี้ผู้ถูกกล่าวหาบอกว่าผู้ใหญ่ลดเงินสินบนในการสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว100,000 บาท คงเหลือ 400,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาจะช่วยออกเงิน200,000 บาท พยานต้องออกเงินในการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว200,000 บาท และต้องเสียค่าเช่าโฉนดที่ดินใช้เป็นหลักทรัพย์ในการประกันอีก 500,000 บาท พยานต่อรองเหลือ 600,000 บาทแต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ยอมจึงตกลงกันไม่ได้ พยานจึงเลิกติดต่อกับผู้ถูกกล่าวหาและไปขอคำแนะนำจากพนักงานอัยการกับเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของศาลชั้นต้นเพื่อยื่นคำร้องขอปล่อยนางวิไลชั่วคราวต่อศาลชั้นต้นในที่สุดศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปล่อยนางวิไลชั่วคราว แต่นางวิไลยังไม่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเนื่องจากถูกขังดำเนินคดีอื่น พยานยื่นคำร้องขอปล่อยนางวิไลชั่วคราวใหม่พร้อมกับชี้แจงพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาตามเอกสารหมาย ร.2 เห็นว่านายวิชัยได้เบิกความให้รายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาเป็นลำดับขั้นตอนยากที่จะปรุงแต่งเรื่องราวมาปรักปรำให้ร้ายผู้ถูกกล่าวหาได้ นอกจากนี้นายณรงค์ศักดิ์ นางสาวเบญจาภาและนางหยีซึ่งมาเป็นเพื่อนนายวิชัยในการเจรจากับผู้ถูกกล่าวหาเพื่อขอให้ผู้ถูกกล่าวหาช่วยเหลือนางวิไลให้ได้รับการปล่อยชั่วคราวก็เบิกความทำนองเดียวกันว่า ในระหว่างที่นายวิชัยและผู้ถูกกล่าวหาเจรจาเกี่ยวกับการเช่าโฉนดที่ดินเพื่อประกันตัวนางวิไลได้ยินผู้ถูกกล่าวหาเรียกร้องเอาเงินสินบนจากนายวิชัยแม้รายละเอียดที่ผู้ถูกกล่าวหาเรียกเอาเงินสินบนจากนายวิชัยพยานทั้งสามจะเบิกความแตกต่างกันบ้างก็มิใช่ข้อสาระสำคัญ เนื่องจากความสนใจในการรับฟังของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกันเมื่อข้อสาระสำคัญตรงกันเป็นที่รับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาเรียกร้องเอาเงินสินบนจากนายวิชัยจริง คำเบิกความของนายณรงค์ศักดิ์นางสาวเบญจาภาและนางหยีจึงเชื่อมโยงกับคำเบิกความของนายวิชัยเป็นการสนับสนุนคำเบิกความของนายวิชัยให้มีน้ำหนักในการรับฟังยิ่งขึ้น สำหรับการที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกดำเนินคดีฐานะละเมิดอำนาจศาลแม้จะสืบเนื่องมาจากคำร้องของนายวิชัยตามเอกสารหมาย ร.2 ก็ตาม แต่ข้อความตามคำร้องดังกล่าวนายวิชัยเพียงชี้แจงให้ศาลชั้นต้นทราบถึงเหตุที่นางวิไลจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6510/2531 ของศาลชั้นต้นไม่มาศาลว่าไม่ใช่เพราะนางวิไลหลบหนี พร้อมกับชี้แจงพฤติการณ์ของนายประกันที่เรียกสินบนอ้างว่าจะนำไปให้ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในคดีหมายเลขดำที่ พย.2160/2536 ด้วย จึงเห็นได้ว่านายวิชัยยื่นคำร้องดังกล่าวมิได้เป็นการจงใจกล่าวโทษผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลชั้นต้นโดยตรง แต่เหตุที่ยื่นคำร้องนี้ก็เพื่อให้ศาลชั้นต้นประกอบดุลพินิจในการมีคำสั่งปล่อยชั่วคราวนางวิไลในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6510/2531 ของศาลชั้นต้นเท่านั้น ทั้งรายละเอียดตามคำร้องเอกสารหมาย ร.2 อาจทำให้นายวิชัยถูกดำเนินคดีในข้อหาใช้ให้ผู้อื่นติดสินบนเจ้าพนักงานจึงเชื่อว่านายวิชัยยื่นคำร้องดังกล่าวโดยสุจริตใจมิใช่ประสงค์จะให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องถูกศาลลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล ที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าเหตุที่ถูกร้องเรียนเพราะญาติของนางวิไลโกรธเคืองผู้ถูกกล่าวหาที่ไม่ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวให้แต่ผู้ถูกกล่าวหานำสำเนาคำร้องขอฝากขังนางวิไลไปให้นายประยูร เอื้อเฟื้อ ดูทำให้นางวิไลถูกควบคุมตัวในคดีเรื่องอื่นและผู้ถูกกล่าวหายังไปต่อว่าญาติของนางวิไลอีกเห็นว่า เหตุที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างมาเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีน้ำหนักฟังหักล้างคำพยานตามทางไต่สวนได้พยานหลักฐานตามทางไต่สวนจึงมีน้ำหนักมั่นคงสมด้วยเหตุผลข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาเรียกร้องเอาเงิน 500 บาทจากนายวิชัยเพื่อเป็นค่าจ้างในการดำเนินการขอหลักทรัพย์คืนเร็วกว่าปกติ และเรียกร้องเอาเงินจากนายวิชัยเป็นเงิน500,000 บาท เพื่อนำไปติดสินบนแก่ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนางวิไลกับเรียกร้องเงิน 10,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้นางวิไลลงลายมือชื่อในคำร้องขอปล่อยชั่วคราวผู้ถูกกล่าวหาได้ดำเนินการดังกล่าวที่หน้าห้องควบคุมผู้ต้องหาและร้านขายอาหารซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกับศาลชั้นต้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำภายในบริเวณศาลชั้นต้น ทั้งที่ศาลชั้นต้นได้จัดเจ้าหน้าที่ไว้คอยบริการให้ความสะดวกรวดเร็วในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขอปล่อยชั่วคราวเอาไว้ พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาเป็นพวกหากินตามตีนโรงตีนศาล หลอกลวงเรียกร้องเอาเงินจากประชาชนผู้มาติดต่อศาลทำให้เกิดความเสียหายแก่สถาบันศาลที่ประสาทความยุติธรรมแก่คู่ความอันอาจเป็นเหตุให้ผู้มาติดต่อศาลเกิดความเข้าใจผิดว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาต่าง ๆ ของศาลหากต้องการความรวดเร็วและเป็นไปตามความประสงค์ของผู้มาติดต่อเกี่ยวกับคดีแล้วจะต้องให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นแก่ศาลในลักษณะเป็นการให้สินบน พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยภายในบริเวณศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31(1) ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาพยานหลักฐานตามทางไต่สวนและพยานหลักฐานของผู้ถูกกล่าวหาที่นำสืบมาโดยชอบแล้วมิใช่เป็นการรับฟังพยานตามทางไต่สวนแต่ฝ่ายเดียวดังที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกามาคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาชอบแล้ว ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน