แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับฎีกาของโจทก์เฉพาะข้อกฎหมายตามข้อ 2 ย่อหน้าสอง โจทก์เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย8 เดือน โดยไม่รอการลงโทษศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้รอการลงโทษจำคุกจำเลย จึงเป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดุลพินิจเรื่องควรรอหรือไม่รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 82) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคแรก,67 ที่แก้ไขแล้วจำคุก 1 ปี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 เดือน ฯลฯ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 คุมความประพฤติโดยให้จำเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติเดือนละครั้งมีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 78) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 82)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย8 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการลงโทษจำเลยมีกำหนด2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 คุมความประพฤติ โดยให้จำเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติเดือนละครั้ง มีกำหนด1 ปี ดังนี้ถือไม่ได้ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 2 ปี โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาไม่รอการลงโทษเป็นการโต้แย้งดุลพินิจการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง