คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2803/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่บรรยายให้เข้าใจว่าจำเลยที่ 1 จงใจไม่เก็บรักษาสิ่งอุปกรณ์อย่างไร จำเลยที่ 1 รับสิ่งอุปกรณ์มาจำนวนเท่าใด จากใคร เมื่อใด และสิ่งอุปกรณ์ได้สูญหายหรือขาดบัญชีไปอย่างไร แต่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าในชั้นสืบพยาน โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นชัดแจ้งถึงการแบ่งและมอบอำนาจหน้าที่ของฝ่ายพลาธิการที่จำเลยที่ 1 สังกัดอยู่ ประกอบกับโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏในมูลเหตุแห่งกรณีและรายละเอียดแห่งข้อหาอันเป็น หลักฐานแห่งฐานความผิด เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 หลงต่อสู้คดีและเสียเปรียบ ดังนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นคนละเรื่องกับที่จำเลยที่ 1 ให้การไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 1 เมื่อพ้นระยะเวลา 10 ปี หลังเกิดการละเมิด คดีจึงขาดอายุความ แต่เหตุที่อ้างว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เวลา ที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ว่าจำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์นั้นเป็นคนละประเด็นกับที่จำเลยที่ 1 ให้การไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำสั่งกองทัพบกโจทก์ได้กำหนดหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะพลาธิการจังหวัดทหารบกขอนแก่นเกี่ยวกับ สิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการไว้ แต่เมื่อคำสั่งจังหวัดทหารบกขอนแก่น อันเป็นคำสั่งภายในหน่วยงานของจำเลยที่ 1 กำหนดหน้าที่เกี่ยวกับสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการให้เป็นของผู้ช่วยพลาธิการจังหวัดทหารบกขอนแก่นเสียแล้ว ย่อมเท่ากับว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับมอบหมายให้ควบคุมดูแลเกี่ยวกับสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ และมิได้ปฏิบัติงานในหน้าที่เกี่ยวกับสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการแล้ว การปล่อยปละละเลยหรือประมาทเลินเล่ออันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนปัญหาที่ว่าคำสั่งดังกล่าวขัดหรือแย้งกันจะใช้บังคับได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจังหวัดทหารบกขอนแก่น ไม่เกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ความเสียหายของโจทก์จึงมิได้ เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดทำให้สิ่งอุปกรณ์ ของโจทก์สูญหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน ๑,๔๓๖,๒๙๘.๙๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีหน้าที่โดยตรงในการเก็บรักษา แจกจ่ายสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการ (สป. ๒ ถึง ๔) เนื่องจากเป็นหน้าที่ของผู้ช่วยพลาธิการจังหวัดทหารบกขอนแก่น ตามคำสั่งจังหวัดทหารบกขอนแก่น ที่ ๕๗/๒๕๑๙ ความเสียหายเกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ ๑ จะดำรงตำแหน่งพลาธิการจังหวัดทหารบกขอนแก่น ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ เนื่องจากโจทก์ไม่บรรยายให้เข้าใจว่า จำเลยที่ ๑ จงใจไม่เก็บรักษาสิ่งอุปกรณ์อย่างไร จำเลยที่ ๑ รับสิ่งอุปกรณ์มาจำนวนเท่าใด จากใคร เมื่อใด สิ่งอุปกรณ์ได้สูญหายหรือขาดบัญชีไปอย่างไร และเหตุแห่งความเสียหายอันเกิดจากการละเมิดตามฟ้องได้เกิดขึ้นเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี แล้ว โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่ ๑ เมื่อพ้นระยะเวลา ๑๐ ปี หลังเกิดการละเมิด คดีจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๑,๔๓๖,๒๙๘.๙๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๘) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๖,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าจำเลยที่ ๑ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ ในการใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์นั้น ในปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า ระหว่างเดือนสิงหาคม ๒๕๒๗ ถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๒๙ จำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งพลาธิการจังหวัดทหารบกขอนแก่น จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าคลังสิ่งอุปกรณ์ประเภทเครื่องแต่งกาย เครื่องนอน และเครื่องเขียน (สป. ๒ ถึง ๔) ซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่พัสดุในหน่วนงานพลาธิการจังหวัดทหารบกขอนแก่น มีหน้าที่เก็บรักษา และจ่ายสิ่งอุปกรณ์ของโจทก์ให้เรียบร้อย ปลอดภัย ครบถ้วนถูกต้องตามบัญชีหรือทะเบียน และให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๒๑ ตลอดจนระเบียบหรือคำสั่งของโจทก์ แต่จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้สิ่งอุปกรณ์ (สป. ๒ ถึง ๔) ของโจทก์ที่เก็บรักษาไว้ในคลังเก็บสิ่งอุปกรณ์ของพลาธิการทหารบกขอนแก่นสูญหายขาดบัญชีไป โดยไม่ปรากฏหลักฐานการเบิกจ่ายรวม ๓๗ รายการ คิดเป็นเงิน ๑,๔๓๖,๒๙๘.๙๗ บาท คดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ยุติไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ข้อนี้ ได้ความตามสำเนาคำสั่งกองทัพบก (คำสั่งชี้แจง) ที่ ๓๘/๒๓๔๘๐ เอกสารหมาย จ.๑ ว่า จำเลยที่ ๑ ในฐานะนายทหารฝ่ายพลาธิการ มีหน้าที่ทั่วไปคือ อำนวยการในเรื่อง การกำหนด นโยบายการรับ เก็บรักษา แจกจ่ายสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการ และอำนวยการในเรื่องการปฏิบัติการในหน้าที่ของพลาธิการอื่น ๆ เกี่ยวกับกิจการทางการช่วยรบ กับมีหน้าที่เฉพาะอีก ๕ ประการ คือ ประการที่ ๓ วางแผนการปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดหา เก็บรักษา และแจกจ่ายสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการ และประการที่ ๕ ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารพลาธิการที่จัดประจำหน่วยในหน่วยหนึ่ง ขึ้นสมทบหน่วยใดหน่วยหนึ่ง และได้ความตามสำเนาคำสั่งจังหวัดทหารบกขอนแก่น ที่ ๕๗/๒๕๑๙ เรื่อง แบ่งมอบงานในหน้าที่สายพลาธิการจังหวัดทหารบกขอนแก่น เอกสารหมาย ล.๑ ว่า ภารกิจในเรื่องกำหนดความต้องการสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการ ตลอดจนการจัดหา เก็บรักษา และแจกจ่าย และกำหนดความต้องการ เก็บรักษา และจำหน่าย สป. ๓ นั้น เป็นภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ผู้ช่วยพลาธิการจังหวัดทหารบกขอนแก่น ทั้งคำสั่งตามเอกสารหมาย จ.๑ และคำสั่งตามเอกสารหมาย ล.๑ ต่างยังมีผลบังคับใช้อยู่ในขณะที่สิ่งอุปกรณ์ของโจทก์สูญหาย ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ตามคำสั่งเอกสารหมาย จ.๑ จะกำหนดหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ เกี่ยวกับสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการไว้ก็ตาม แต่เมื่อคำสั่งเอกสารหมาย ล.๑ อันเป็นคำสั่งภายในหน่วยงานของจำเลยที่ ๑ กำหนดหน้าที่เกี่ยวกับสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการให้เป็นของผู้ช่วยพลาธิการจังหวัดทหารบกขอนแก่นเสียแล้ว ย่อมเท่ากับว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้รับมอบหมายให้ควบคุมดูแลเกี่ยวกับสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการ หากจำเลยที่ ๑ ยังสอดเข้าไปควบคุมดูแลย่อมเป็นการขัดต่อคำสั่งเอกสารหมาย ล.๑ ซึ่งเป็นคำสั่งของผู้บังคับการจังหวัดทหารบกขอนแก่นอันเป็นผู้บังคับบัญชาในเบื้องต้น ทั้งตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยที่ ๑ ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในการรับ เก็บรักษา และแจกจ่ายสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่มีหน้าที่ และมิได้ปฏิบัติงานในหน้าที่เกี่ยวกับสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการแล้ว การปล่อยปละละเลยหรือประมาทเลินเล่ออันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนปัญหาที่ว่าคำสั่งเอกสารหมาย ล.๑ ขัดหรือแย้งกับคำสั่ง เอกสารหมาย จ.๑ จะใช้บังคับได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจังหวัดทหารบกขอนแก่นซึ่งเป็นหน่วยงาน ในสังกัดของโจทก์เองไม่เกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดของจำเลยที่ ๑ ความเสียหายของโจทก์จึงมิได้เกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ ด้วยนั้น ศาลฎีกา ไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทั้งสามศาล ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ .

Share