แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยคลอดบุตรแล้วโจทก์ไม่อยู่ช่วยดูแลบุตรจำเลยจึงต้องพาบุตรไปอาศัยอยู่กับมารดาของจำเลยชั่วคราว แต่โจทก์กลับไม่ยอมให้จำเลยอยู่ด้วยโดยไปแจ้งย้ายทะเบียนบ้าน ให้จำเลยและบุตรออกไปจากบ้านโจทก์ เมื่อจำเลยมาพบพูดจากับโจทก์ในฐานะที่โจทก์เป็นสามี โจทก์ก็ไม่ยอมพูดด้วย จำเลยต้องอาศัยอยู่กับมารดาของจำเลยต่อมา ดังนี้ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยทะเลาะกัน จำเลยขนเครื่องเรือนออกจากบ้านพาบุตรไปพักที่บ้านเดิมของจำเลย โจทก์ติดตามไปขอคืนดีและขอรับบุตรคืน จำเลยปฏิเสธถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา เพราะจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่า ๑ ปีแล้ว ขอหย่าขาดจากจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยอุปการะส่งเสียเลี้ยงดูจำเลยและบุตรเหยียดหยามด่าว่า ทุบตีจำเลยเนืองๆ และไล่จำเลยกับบุตรออกจากบ้าน จำเลยและบุตรจึงต้องไปอาศัยอยู่กับบิดามาราดาของจำเลย และพยายามกลับไปอยู่กับโจทก์ แต่โจทก์ไม่ให้อยู่จำเลยออกจากบ้านไปอยู่กินกับบิดามาราดายังไม่ถึง ๑ ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ตามพฤติการณ์ที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่า เป็นเรื่องจำเลยคลอดบุตรแล้ว โจทก์ไม่อยู่ช่วยเหลือดูแลบุตร จำเลยจึงต้องพาบุตรไปอาศัยอยู่กับมารดาของจำเลยชั่วคราวแต่โจทก์กลับไม่ยอมให้จำเลยอยู่ด้วย ไปโดยไปแจ้งย้ายทะเบียนบ้านให้จำเลยและบุตรออกไปจากบ้านโจทก์ เมื่อจำเลยมาพบพูดจากับโจทก์ในฐานะที่โจทก์เป็นสามี โจทก์ก็ไม่ยอมพูดด้วยจำเลยต้องอาศัยอยู่กับมารดาของจำเลยต่อมา จึงไม่ใช่เรื่องจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ อันเป็นเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้
พิพากษายืน.