คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยโดยวิธีปิดหมาย แต่เจ้าพนักงานศาลกลับส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีปิดหมาย จึงเป็นการไม่ชอบ รายงานการส่งหมายของเจ้าพนักงานศาลก็ขัดแย้งกัน กล่าวคือ ในครั้งแรกรายงานว่าได้ปิดหมายไว้ที่บ้านของจำเลย แต่ในครั้งหลังซึ่งห่างกันเพียงเดือนเศษ รายงานว่าจำเลยรื้อเรือนและไปอยู่ที่อื่นหลายเดือนแล้ว ต้องถือว่าศาลยังมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยและภายหลังแต่นั้นมาเป็นการไม่ชอบ และไม่มีผลตามกฎหมาย
จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันยึดทรัพย์ แต่เมื่อปรากฏว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยให้ถูกต้องแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์แล้วไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ชอบ จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่พ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า คำร้องขอพิจารณาใหม่ที่ต้องห้ามมิให้ยื่นเมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์น่าจะใช้บังคับในกรณีที่มีพฤติการณ์ในการฟ้องร้องโดยสุจริต และยึดทรัพย์จำเลยโดยจำเลยได้ทราบหรือควรทราบแล้ว แต่โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริต เจตนาจะไม่ให้จำเลยต่อสู้คดี การส่งหมายนัดเป็นไปโดยมิชอบ เป็นเหตุให้จำเลยไม่ทราบเรื่องการถูกฟ้องและถูกยึดทรัพย์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏจากหลักฐานในสำนวนว่าศาลชั้นต้นสั่งคำฟ้องของโจทก์ว่า ถ้าส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยไม่ได้ ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน ๑๕ วันนับแต่วันส่งไม่ได้มิได้สั่งให้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง แต่เจ้าพนักงานศาลกลับส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยด้วยวิธีปิดหมายจึงเป็นการไม่ชอบทั้งรายงานเจ้าหน้าที่ในการส่งหมายของเจ้าพนักงานศาลก็มีข้อความขัดแย้งกัน ในการส่งหมายครั้งแรก ตามรายงานลงวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๒๗ เจ้าพนักงานศาลรายงานว่า ได้ปิดหมายไว้ ณ บ้านเลขที่ ๕๙ หมู่ที่ ๑๐ บ้านโคกเพชร ตำบลไพล อำเภอปราสาท ซึ่งเป็นบ้านเรือนของจำเลยแต่ในรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๗ ห่างกันเพียง ๑ เดือนเศษ เจ้าพนักงานศาลผู้นำส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์รายงานว่า ได้สอบถามนายวิจิตร จันทร์ภักดี ผู้ใหญ่บ้านได้ความว่าจำเลยรื้อเรือนและอพยพไปอยู่ที่อื่นหลายเดือนแล้ว จึงส่งหมายให้จำเลยไม่ได้ เมื่อการส่งหมายให้จำเลยเป็นไปโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๗๖ จึงต้องถือว่า ศาลยังมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยและภายหลังแต่นั้นมาจึงเป็นการไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย ทั้งเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมและเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องของจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยให้ถูกต้อง แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่.

Share