คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2799/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และ 72 ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา75 และลดโทษให้ตามมาตรา 78 แล้วคงจำคุก 8 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้จำคุก 2 ปี ตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวางมา เช่นนี้ เป็นการแก้เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราด้วย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายชกต่อยผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน จำเลยฎีกาว่าจำเลยแทงผู้เสียหายในขณะถูกชกต่อย แต่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ดังนี้ ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาซึ่งเป็นยุติและต้องห้ามฎีกา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงประทุษร้ายผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า แต่ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย เพียงได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๘๐, ๒๘๘, ๒๙๕
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๐ และ ๗๒ จำเลยอายุ ๑๕ ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๕ จำคุก ๑๐ ปี คำรับชั้นจับกุมและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ประกอบกับฝ่ายจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายแล้ว ลดโทษให้หนึ่งในห้าคงจำคุก ๘ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ ลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๕ แต่เนื่องจากจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายเพราะบันดาลโทสะตามมาตรา ๗๒ ให้จำคุก ๓ ปี มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ ๑ใน ๓ เหลือ ๒ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์เพียงแต่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราด้วยเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายชกต่อยผ่านพ้นไปแล้ว และขณะผู้เสียหายเดินหันหลังจะไปท้ายเรือเพื่อรับประทานอาหาร จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนการที่จำเลยฎีกาว่าคำเบิกความของพยานโจทก์สรุปได้ว่า จำเลยแทงผู้เสียหายโดยใช้มีดเหวี่ยงไปมาในขณะถูกชกต่อย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าบาดแผลของผู้เสียหายเกิดจากการแทงทางด้านหลัง โดยอาศัยคำเบิกความของผู้เสียหายจึงเป็นการคลาดเคลื่อน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ดังนี้ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา ซึ่งเป็นยุติและต้องห้ามฎีกา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายกฎีกาจำเลย.

Share