แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเพียงแต่ผู้ได้รับอนุญาตจากทางสุขาภิบาลป่าตองให้ทำการก่อสร้างอาคารชั้นเดียวจำนวน 15 คูหา รวมทั้งห้องพิพาทลงบนที่ดิน ซึ่งที่ดินดังกล่าวยังมีคดีพิพาทกันอยู่ระหว่างนางสาว จ. เจ้าของที่ดินกับนาย อ. นางสาว จ. อนุญาตให้โจทก์ใช้ที่ดินอยู่จนถึงเมื่อศาลฎีกาในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษา เมื่อคดีได้ความว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2537 โจทก์จึงต้องคืนการใช้ที่ดินและยกสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งห้องพิพาทให้แก่นางสาว จ. ตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้น สิ่งก่อสร้างบนพื้นดินย่อมตกเป็นของนางสาว จ. ตามหลักเรื่องส่วนควบตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2537 เป็นต้นไป ฉะนั้น ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของห้องพิพาท จำเลยทำสัญญาเช่าห้องพิพาทกับโจทก์เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2536 สัญญาเช่าสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2537 หลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้วจำเลยก็มิได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์อีก โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2537 ซึ่งขณะที่ฟ้องโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของห้องพิพาทแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไปพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากห้องดังกล่าวของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่ใช่เจ้าของห้องพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากอาคารของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากอาคารของโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาทหรือไม่ เห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ. 1 นั้น โจทก์เป็นเพียงแต่ผู้ได้รับอนุญาตจากทางสุขาภิบาลป่าตองให้ทำการก่อสร้างอาคารชนิด ค.ส.ล. ชั้นเดียว จำนวน 15 คูหา รวมทั้งห้องพิพาทเลขที่ 82/54 ลงบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1028 ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต นางสาวจินตนาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าว 7 ส่วน ใน 10 ส่วน โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของในที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นเลย การก่อสร้างอาคารของโจทก์ลงบนที่ดินของนางสาวจินตนานั้น จะเป็นการชั่วคราวหรืออาศัยสิทธิอันใดนั้นได้ความจากตัวโจทก์ว่า นางสาวจินตนาน้องสาวโจทก์อนุญาตให้โจทก์เข้าไปก่อสร้างอาคารพาณิชย์ เนื่องจากโจทก์เปลี่ยนไตให้นางสาวจินตนา ความข้อนี้นางสาวจินตนาพยานจำเลยรับว่า อนุญาตให้โจทก์เข้าไปทำการก่อสร้างอาคารในที่ดินของพยานได้ แต่นางสาวจินตนาได้โต้แย้งเกี่ยวกับระยะเวลาในการที่ให้โจทก์ใช้ที่ดิน ฉะนั้นการก่อสร้างอาคารของโจทก์ลงบนที่ดินของนางสาวจินตนาจึงเป็นการชั่วคราวชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า นางสาวจินตนาอนุญาตให้โจทก์ใช้ที่ดินอยู่จนถึงเมื่อศาลฎีกาในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษา เมื่อคดีได้ความตามเอกสารหมาย ล. 4 ว่า ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2537 ฉะนั้นโจทก์จึงต้องคืนการใช้ที่ดินและยกสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งห้องพิพาทให้แก่นางสาวจินตนาตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อโจทก์ต้องคืนการใช้ที่ดินให้นางสาวจินตนาแล้ว สิ่งก่อสร้างบนพื้นดินนั้นย่อมตกเป็นของนางสาวจินตนาตามหลักเรื่องส่วนควบตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2537 เป็นต้นไป ฉะนั้น ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของห้องพิพาท ตามเอกสารหมาย จ. 2 หลังจากสัญญาเช่าดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้วจำเลยก็มิได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์อีก โจทก์ฟ้องคดีนี้ ซึ่งขณะที่ฟ้องนี้โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของห้องพิพาทดังที่วินิจฉัยมาแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.