แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์โดยสารอันเป็นรถที่ก่อให้เกิดความเสียหายครั้งนี้ แม้ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของ ย. ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวของ ย. และ ย. กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. เป็นผู้เอาประกันภัยค้ำจุนไว้แก่จำเลยที่ 3 แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะอะไรของ ย.กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. และมีนิติสัมพันธ์กันอย่างไรกับบุคคลทั้งสองนั้น อันจะเป็นเหตุให้ ย. กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อ ย. กับห้างหุ้นส่วนจำกัดศ. ต้องรับผิด ในเมื่อตามฟ้องไม่ปรากฏว่า ย. กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. จะต้องรับผิดต่อโจทก์แล้วจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์โดยสารประจำทางคันหมายเลขทะเบียน ๑ จ. – ๘๖๘๖ กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันหมายเลขทะเบียน ร.บ. – ๐๐๐๐๒ จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. – ๐๐๐๐๒ และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ ๓ เป็นบริษัทจำกัดประกอบกิจการประกันภัย และเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. – ๐๐๐๐๒ ไว้ในขณะเกิดเหตุคดีนี้ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๒๒ เวลาประมาณ ๖.๓๐ น. จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ร.บ.๐๐๐๐๒ ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ โดยประมาท ชนรถโดยสารประจำทางของโจทก์คันหมายเลขทะเบียน ๑ จ. – ๘๖๘๖ กรุงเทพมหานคร ทำให้รถของโจทก์คันดังกล่าวได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๑ ผู้กระทำละเมิดจำเลยที่ ๒ ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. – ๐๐๐๐๒ ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้เงินจำนวน ๓๖,๔๖๗ บาทแก่โจทก์ และโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในอันตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๗,๕๒๑ บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยทั้งสามต้องชำระแก่โจทก์ ๔๓,๙๙๗ บาท ขอศาลบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๔๓,๙๙๗ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๓๖,๔๖๗ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การความว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๑ จ. – ๘๖๘๖ กรุงเทพมหานคร จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าเสียหายของรถยนต์ที่ถูกชนไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาทจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ผู้ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. – ๐๐๐๐๒ และไม่ใช่นายจ้างของจำเลยที่ ๑ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ไม่ได้กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ เหตุที่รถชนกันนี้คนขับรถคันหมายเลขทะเบียน ๑ จ. – ๘๖๘๖ มีส่วนร่วมในการกระทำผิดด้วยจำเลยที่ ๓ ยอมรับว่าเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. – ๐๐๐๐๒ จริงแต่จำเลยที่ ๓ จะรับผิดต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อโจทก์เท่านั้น จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวจำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๔๓,๙๘๘ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๓๖,๔๖๗ บาท นับถัดจากวันฟ้อง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย ไม่ใช่รับผิดฐานละเมิดซึ่งมีอายุความ ๑ ปีแต่จำเลยที่ ๓ ไม่ได้ต่อสู้อายุความตามสัญญาประกันภัยจึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัย และข้อเท็จจริงได้ความว่านางสาวยุพดี และห้างหุ้นส่วนจำกัดศุภชัยทรานสปอร์ต เป็นผู้เอาประกันภัย และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ บุคคลทั้งสองต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ อยู่แล้ว จำเลยที่ ๓ ผู้รับประกันภัยค้ำจุนเป็นผู้รับผิดแทนบุคคลทั้งสองผู้เอาประกันภัยโดยผลของสัญญาพิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยซึ่งจะต้องรับผิดต่อโจทก์เท่านั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องหรือนำสืบให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๓ มีนิติสัมพันธ์กับผู้เอาประกันภัยคือนางสาวยุพดีอย่างไร และจำเลยที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดกับนางสาวยุพดีอย่างไรแล้ว จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดเห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๓ ให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ร.บ. – ๐๐๐๐๒ อันเป็นรถที่ก่อให้เกิดความเสียหายครั้งนี้ ถึงแม้ตามทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของนางสาวยุพดีได้ขับรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ร.บ. – ๐๐๐๐๒ ของนางสาวยุพดี และนางสาวยุพดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัดศุภชัยทัวร์เป็นผู้เอาประกันภัยค้ำจุนไว้แก่จำเลยที่ ๓ ก็ตาม แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะอะไรของนางสาวยุพดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัดศุภชัยทัวร์ผู้เอาประกันและมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับบุคคลทั้งสองนั้นอันจะเป็นเหตุให้นางสาวยุพดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัดศุภชัยทัวร์ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๓ ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อนางสาวยุพดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัดศุภชัยทัวร์ต้องรับผิดในเมื่อตามฟ้องไม่ปรากฏว่า นางสาวยุพดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัดศุภชัยทัวร์ จะต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย เมื่อจำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ดังกล่าวแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๓ ข้ออื่นต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.