คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2796/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำบรรยายฟ้องฎีกาของโจทก์เพียงแต่อ้างว่าเมื่อฟังพยานโจทก์พยานจำเลยโดยถ่องแท้แล้ว พยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลย มิได้หยิบยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงเลยว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยตรงไหนอย่างไรเพราะเหตุใดหรือมีเหตุผลอย่างไรที่ชี้ให้เห็นว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยอันจะทำให้น่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นดังโจทก์ฎีกา แม้โจทก์จะกล่าวไว้ว่าขอถือเอาคำอุทธรณ์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการอ้างอิงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะอ้างอิงขึ้นกล่าวไว้โดยชัดแจ้งตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 บังคับไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นภรรยานายบก โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรนายบกซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อประมาณ 5 เดือนมานี้ เมื่อประมาณ 19 ปีมาแล้ว โจทก์ที่ 1 และนายบกได้ร่วมกันซื้อที่ดิน 1 แปลงจากนายหยิบนางเล็ก เนื้อที่ 2 ไร่เศษ อยู่หมู่ 12 ตำบลหัวดง กิ่งอำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ได้ครอบครองร่วมกันตลอดมาโดยจำเลยไม่เคยเกี่ยวข้อง หลังจากนายบกตายประมาณ 3 เดือน จำเลยได้พาบริวารเข้ามาปลูกเพิงในที่ดินแปลงนี้โจทก์ห้ามปรามจำเลยอ้างว่าเป็นที่ดินของตน ทั้งปรากฏว่าเมื่อ พ.ศ. 2498 จำเลยได้ขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)สำหรับที่ดินแปลงนี้ให้แก่ตน ขอให้เพิกถอนแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) กับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องต่อไป

จำเลยให้การว่า ที่ดินตามที่โจทก์ฟ้องเป็นของจำเลย จำเลยปลูกบ้านเรือนอยู่อาศัยและได้รับมรดกตกทอดมาจากมารดามาเป็นเวลา 20 ปีเศษแล้ว ทั้งได้แจ้ง ส.ค.1 ไว้เป็นหลักฐาน

ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ทั้งสองและจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทร่วมกัน พิพากษาให้แบ่งที่พิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยฝ่ายละครึ่งตามที่จะตกลงกัน หากไม่ตกลงกัน ก็ให้ขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นพิพากษานอกคำขอ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่จำเลยหรือให้เพิกถอนแบบแจ้งการครอบครองที่ดินพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า “เมื่อฟังพยานโจทก์พยานจำเลยโดยถ่องแท้แล้ว โจทก์เห็นว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลย น่าเชื่อว่าขณะจำเลยไปแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ออกหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) นั้น นายบกเจ้ามรดกของโจทก์เป็นผู้ครอบครอง โดยจำเลยหาได้เกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทไม่ จำเลยเพิ่งจะเข้ามาในที่ดินหลังจากที่นายบกถึงแก่กรรมไปแล้วนี่เอง อนึ่ง โจทก์ขอถือเอาคำอุทธรณ์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกาของโจทก์ด้วย”

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องฎีกาดังกล่าว โจทก์เพียงแต่อ้างว่าเมื่อฟังพยานโจทก์พยานจำเลยโดยถ่องแท้แล้ว พยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลย แต่โจทก์มิได้หยิบยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงเลยว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยตรงไหน อย่างไร เพราะเหตุใดหรือมีเหตุผลอย่างไรที่ชี้ให้เห็นว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยอันจะทำให้น่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นดังโจทก์ฎีกา แม้โจทก์จะกล่าวไว้ว่าขอถือเอาคำอุทธรณ์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการอ้างอิงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะอ้างอิงขึ้นกล่าวไว้โดยชัดแจ้งตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 บังคับไว้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share