คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2790/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และพยายามฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288ประกอบด้วยมาตรา 80 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยไม่มีเจตนาฆ่าเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตามมาตรา 290และฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 290 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักกว่า คดีของโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จำเลยขับรถยนต์ถอยหลังชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายและรถยนต์ของผู้อื่นอีก 3 คัน มีเสียงร้องให้ช่วยจับจำเลย ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจึงนั่งซ้อนท้ายรถของผู้ตายติดตามรถจำเลยไปและตามไปทัน ผู้ตายขับรถแซงรถจำเลยทางด้านขวาแล้วผู้เสียหายเอามือเคาะประตูรถจำเลย บอกว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยจอดรถ จำเลยไม่ยอมฟังกลับเร่งความเร็วของรถแล้วขับรถปาดเฉียงไปทางขวาล้ำเส้นกึ่งกลางถนนในระยะกระชั้นชิดผู้ตายไม่สามารถหลบหลีกได้ เพราะรถสองคันแล่นตีคู่ด้วยความเร็วสูงในซอยกว้างประมาณ 5 เมตร ไม่มีทางเท้า สองข้างซอยมีกำแพงรั้วโดยตลอด ด้านขวาของซอยมีเสาไฟฟ้าปักอยู่เป็นระยะ ๆ จึงเป็นเหตุให้รถผู้ตายเฉี่ยวชนรถของจำเลยทางด้านขวาค่อนไปทางหน้ารถแล้วเสียหลักพุ่งไปชนกำแพงรั้วด้านขวาของซอยอย่างแรงจนมีโลหิตเปรอะกำแพงรั้วและนองพื้น แล้วเลยไปชนเสาไฟฟ้า ส่วนรถจำเลยแล่นด้วยความเร็วสูง จึงไม่สามารถบังคับรถให้เลี้ยวคืนสู่ทางได้เป็นเหตุให้แล่นชนรถผู้ตายและเสาไฟฟ้าดังกล่าว ผู้ตายถึงแก่ความตายทันที และผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส เช่นนี้ เห็นได้ว่าจำเลยจงใจให้รถผู้ตายแล่นเข้าชนกำแพงรั้วและเสาไฟฟ้าอย่างแรงโดยผู้ตายไม่มีทางขับรถหลบหลีกไปได้เลย จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำของจำเลยได้ว่าจะทำให้ผู้ตายและผู้เสียหายซึ่งนั่งบนรถจักรยานยนต์ถึงแก่ความตายได้ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายและผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงล้ำเส้นกึ่งกลางถนนปาดหน้ารถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับขี่อย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับขี่ชนรถยนต์ที่จำเลยขับ แล้วกระเด็นไปชนเสาไฟฟ้าข้างถนน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,288, 80, 33 ริบรถยนต์ของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 จำคุก 4 ปีรถยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่จำเลยเจตนาใช้กระทำผิดจึงไม่ริบโจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290, 297 ลงโทษตามมาตรา 290อันเป็นบทหนัก จำคุก 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี ริบรถยนต์ของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยก่อน ที่จำเลยฎีกาเป็นใจความว่า การที่จำเลยขับรถถอยหลังไปชนรถของบุคคลอื่นเป็นเรื่องจะต้องรับผิดในทางแพ่งเท่านั้น ไม่ร้ายแรงจนถึงจะต้องขับรถหนีผู้ที่ได้รับความเสียหาย จำเลยขับรถต่อไปตามปกติก่อนจะเกิดเหตุผู้ตายก็มิได้ขับรถตีคู่กับรถจำเลยดังที่โจทก์นำสืบเพราะในซอยที่เกิดเหตุมีการขุดถนนเป็นทางยาว รถไม่สามารถแล่นตีคู่กันได้ หน้ารถจำเลยทางด้านขวาเสียหายเพราะจำเลยขับรถหลบรถจักรยานจึงทำให้รถเสียหลักแล่นไปชนเสาไฟฟ้า จำเลยจึงขับรถถอยหลังมาจอดกึ่งกลางซอย ผู้ตายขับรถมาทางด้านหลังรถจำเลยด้วยความเร็ว รถจึงเสียหลักพุ่งเข้าชนกำแพงรั้วและเสาไฟฟ้าเป็นเรื่องผู้ตายขับรถโดยประมาท นั้น ปรากฏว่า เมื่อจำเลยขับรถถอยหลังในซอยทานตะวันเพื่อจะเลี้ยวขวาเข้าซอยร่วมเสริมกิจเพราะจะขับรถตรงไปตามซอยทานตะวันไม่สะดวกเนื่องจากมีรถจอดอยู่จำนวนมาก เป็นเหตุให้รถจำเลยแล่นถอยหลังไปชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายและรถยนต์ของผู้อื่นอีก 3 คันนั้น ผู้ตายนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ของตนอยู่เพื่อจะขับรถไปทำธุระอยู่แล้ว และมีเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วยจับผู้ขับขี่รถจำเลย เหตุการณ์เหล่านี้เกิดต่อหน้าผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ศาลฎีกาจึงเชื่อว่าผู้เสียหายได้ขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถผู้ตายแล้วผู้ตายขับรถตามรถจำเลยไปทันควันเพื่อให้จำเลยมาเจรจาเรื่องค่าเสียหาย มิใช่เมื่อจำเลยขับรถถอยหลังไปชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายและรถยนต์ของผู้อื่นอีก 3คัน แล้วจำเลยขับรถต่อไปตามปกติโดยผู้ตายมิได้ขับรถติดตามมาและผู้เสียหายมิได้เรียกให้จำเลยจอดรถ ที่จำเลยนำสืบว่าก่อนรถผู้ตายจะชนกำแพงรั้วและเสาไฟฟ้า รถจำเลยและรถผู้ตายมิได้แล่นตีคู่กันเพราะซอยพิพัฒน์เป็นซอยแคบและกำลังซ่อมถนนเป็นทางยาวรถจำเลยและรถผู้ตายไม่สามารถแล่นตีคู่กันนั้น จ่าสิบตำรวจกวี ประทีปเสน พยานจำเลยเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุจ่าสิบตำรวจกวีปฏิบัติหน้าที่ดูแลการจราจรอยู่ที่ปากซอยพิพัฒน์เพราะมีการขุดถนนในซอยเพื่อวางท่อสายไฟฟ้าแรงสูงจากพื้นดินไปยังตึกสร้างใหม่และที่เกิดเหตุอยู่เกือบท้ายซอย แสดงว่า มีการขุดถนนที่ปากซอยเท่านั้นผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้ตายขับรถไปทันรถจำเลยเมื่อเข้าซอยไปแล้วประมาณ 20 เมตร ข้อนำสืบของจำเลยข้อนี้ไม่น่าเชื่อที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยขับรถหลบรถจักรยานที่แล่นตามมาจากสามแยกทำให้รถจำเลยเสียหลักแล่นเข้าชนเสาไฟฟ้านั้น ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การแต่เพียงว่าซอยพิพัฒน์เล็กแคบ จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงประมาณ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นเหตุให้รถเสียหลักแล่นไปเฉี่ยวชนเสาไฟฟ้าเท่านั้น ไม่ได้ให้การว่าขับรถหลบรถจักรยานแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังปรากฏว่า มีเศษเนื้อเยื่อและคราบโลหิตของมนุษย์ติดที่หน้ารถด้านขวาของรถจำเลย ถ้าจำเลยขับรถหลบรถจักรยานทำให้รถจำเลยเสียหลักแล่นไปชนเสาไฟฟ้าแล้วจำเลยขับรถถอยหลังมาจอดคร่อมเส้นกึ่งกลางถนน ผู้ตายขับรถเสียหลักไปชนกำแพงรั้วและเสาไฟฟ้าเอง ดังที่จำเลยนำสืบแล้ว ที่หน้ารถด้านขวาของรถจำเลยก็ไม่น่าจะมีเศษเนื้อเยื่อและคราบโลหิตติดอยู่ด้วยเหตุผลดังกล่าวศาลฎีกาไม่เชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่จำเลยนำสืบ แต่เชื่อว่าเป็นดังที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาของโจทก์นั้น พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และพยายามฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยไม่มีเจตนาฆ่าเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 และฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 290 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักกว่า โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง คดีของโจทก์จึงต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยขับรถยนต์ถอยหลังไปชนรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายและรถยนต์ของผู้อื่นอีก 3 คัน ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์โดยมีผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายตามรถจำเลยมาอย่างทันควัน เมื่อผู้ตายขับรถตามมาทันแล้วแซงขวาตีคู่กับรถจำเลย ผู้เสียหายเคาะกระจกหน้ารถจำเลยด้านคนขับและร้องบอกว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยจอดรถจำเลยกลับเร่งความเร็วของรถ ผู้ตายจึงต้องเร่งความเร็วของรถที่สูงอยู่แล้วให้สูงขึ้นเพื่อให้ทันรถจำเลยเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันตีคู่กัน จำเลยซึ่งขับรถอยู่ในช่องเดินรถด้านซ้ายได้ขับรถเบนไปทางด้านขวาปาดหน้ารถผู้ตายอย่างกะทันหันในขณะรถทั้งสองคันแล่นตีคู่กันด้วยความเร็วสูงในซอยที่มีความกว้างประมาณ 5 เมตรไม่มีทางเท้า สองข้างซอยมีกำแพงรั้วโดยตลอด ด้านขวาของซอยมีเสาไฟฟ้าปักอยู่เป็นระยะ ๆ รถจำเลยเป็นรถยนต์กว้าง 2 เมตรเศษรถผู้ตายเป็นรถจักรยานยนต์ การที่จำเลยขับรถปาดหน้ารถผู้ตายอย่างกะทันหันในระยะกระชั้นชิด ในขณะที่รถทั้งสองคันแล่นตีคู่กันด้วยความเร็วสูงและหน้ารถจำเลยอยู่ล้ำหน้ารถผู้ตายเป็นเหตุให้รถผู้ตายเฉี่ยวชนรถจำเลยทางด้านขวาค่อนไปทางหน้ารถ แล้วเสียหลักพุ่งไปชนกำแพงรั้วด้านขวาของซอยอย่างแรงจนมีโลหิตเปรอะกำแพงรั้วและนองพื้น แล้วเลยไปชนเสาไฟฟ้า รถจำเลยแล่นด้วยความเร็วสูง จำเลยจึงไม่สามารถบังคับรถให้เลี้ยวกลับคืนสู่เส้นทางได้ เป็นเหตุให้รถจำเลยแล่นเข้าชนรถผู้ตายและเสาไฟฟ้าดังกล่าว ผู้ตายถึงแก่ความตายทันที ผู้เสียหายซึ่งนั่งซ้อยท้ายรถได้รับอันตรายสาหัสเช่นนี้ เห็นได้ว่า จำเลยจงใจจะให้รถผู้ตายแล่นเข้าชนกำแพงรั้วและเสาไฟฟ้าอย่างแรง โดยผู้ตายไม่มีทางขับรถหลบหลีกไปได้เลย จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำของจำเลยได้ว่าเป็นการกระทำที่จะทำให้ผู้ตายและผู้เสียหายซึ่งนั่งบนรถจักรยานยนต์ถึงแก่ความตายได้ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายและผู้เสียหายเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายและผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสเพราะการกระทำดังกล่าวจำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยมีเจตนาเพียงแต่ทำร้ายร่างกายผู้ตายและผู้เสียหายเท่านั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนากับฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 กับมาตรา 288ประกอบด้วยมาตรา 80 ตามลำดับ ให้ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 20 ปีข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย 13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share