แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
1. การร้องทุกข์นั้น ย่อมมอบอำนาจให้ร้องทุกข์แทนกันได้ (อ้างฎีกาที่ 890/2503) 2. ในคดีอาญา อัยการไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จำเลยยักยอกไป เพราะดอกเบี้ยไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไป เนื่องจากการกระทำผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 แต่เนื่องจากผู้เสียหายได้เป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ โดยถือเอาคำฟ้องของพนักงานอัยการเป็นของตนเช่นนี้ถือได้ว่า ผู้เสียหายได้เรียกดอกเบี้ยแล้ว แต่เมื่อยังไม่ได้เสียค่าธรรมเนียมเนื่องจากการฟ้องเรียกดอกเบี้ยมารวมทั้ง 3 ศาล เช่นนี้ ศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้เรียกได้ เมื่อเสียค่าธรรมเนียมแล้ว จึงจะพิจารณาวินิจฉัยต่อไปเกี่ยวกับกรณีนี้ได้ 3. จำเลยเป็นผู้จัดการธนาคารยักยอกเงินธนาคาร ถือว่าเป็นการกระทำในฐานเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนตามถ้อยคำในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 แล้ว 4. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 เป็นคุณแก่จำเลยกว่ากฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 319 (ข้อ 2 โดยประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2505)
ย่อยาว
คดี 2 สำนวนนี้พิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องทำนองเดียวกันว่าจำเลยเป็นผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยจำกัด สาขานครราชสีมา ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลรักษาและครอบครองทรัพย์สินของธนาคารไว้เพื่อกิจการของธนาคารโดยชอบ จำเลยจึงอยู่ในฐานะเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จำเลยร่วมกับนายเยี่ยมได้ยักยอกเงินฝากธนาคารในสำนวนแรก 372,782 บาท ในสำนวนหลัง 750,000 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353, 354, 83 กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 314, 319, 63 กับขอให้ใช้ทรัพย์และนับโทษติดต่อกัน
จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน
ธนาคารกสิกรไทยจำกัด โดยนายเกษม ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นฟังว่า การที่จำเลยนำเงินของธนาคารไปใช้ ก็โดยนายเกษม ล่ำซำ ผู้จัดการใหญ่ยินยอม จำเลยไม่มีเจตนาทุจริต และผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
อัยการโจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยทำผิดจริงตามฟ้อง คดีไม่ขาดอายุความแต่เห็นว่าอัยการไม่มีสิทธิฟ้องเรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จำเลยยักยอก กับเห็นว่าจำเลยเป็นแต่เพียงได้รับความไว้วางใจของธนาคารกสิกรไทย จำกัด เท่านั้นไม่ใช่เป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 ที่โจทก์อ้าง จึงพิพากษากลับว่าจำเลยผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 314 ทั้งสองสำนวน ให้จำคุกจำเลยรายกระทงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 กระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวมเป็น 3 ปี กับให้จำเลยคืนเงิน1,122,782 บาทแก่ผู้เสียหาย คำฟ้องและคำขอนอกจากนี้ให้ยก
แต่มีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งเห็นแย้งว่า นายเกษม ล่ำซำผู้เสียหายไม่มีอำนาจมอบให้นายเพ็ญ สิมะเสถียร ร้องทุกข์แทนอ้างฎีกาที่ 1857/2499 อัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ควรยกฟ้องทั้ง 2 สำนวน
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา
ในปัญหาเรื่องร้องทุกข์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การร้องทุกข์นั้นย่อมมอบอำนาจให้ร้องทุกข์แทนกันได้ อ้างฎีกาที่ 890/2503
ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า ในคดีอาญา อัยการมีสิทธิฟ้องเรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จำเลยยักยอกได้นั้น ศาลฎีกาได้ปรึกษาโดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 บัญญัติว่า”คดี ฯลฯ ยักยอก ฯลฯ ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดคืน เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย” ดังนี้ และมิให้เรียกค่าธรรมเนียมโดยบัญญัติไว้ในมาตรา 253 แห่งกฎหมายที่กล่าวแล้วแต่เห็นว่าดอกเบี้ยนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดเพราะฉะนั้นในคดีนี้ พนักงานอัยการจึงฟ้องเรียกค่าดอกเบี้ยไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดีการที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมโดยถือเอาคำฟ้องของพนักงานอัยการเป็นของตนเช่นนี้ ถือได้ว่าผู้เสียหายได้เรียกดอกเบี้ยแล้ว แต่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมยังมิได้เสียค่าธรรมเนียมตามกฎหมายเลย จึงให้ส่งสำนวนกลับไปให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าธรรมเนียมเฉพาะดอกเบี้ยทั้ง 3 ศาล จากผู้เสียหาย ซึ่งเป็นโจทก์ร่วม และบัดนี้ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตามคำสั่งแล้ว จึงจะได้พิจารณาสั่งในเรื่องนี้ต่อไป
ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เดิมได้มีบทบัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 319(3) และต่อมาก็ได้ขยายความข้อนี้และบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 ซึ่งเห็นได้ว่ากฎหมายมุ่งถึงการกระทำเกี่ยวกับธุรกิจที่ประกอบเป็นหลักเกณฑ์และงานที่จำเลยทำอยู่นี้ก็เป็นกิจการหรือธุรกิจการธนาคารอันเห็นได้ว่าเป็นสถานที่ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประกอบการธนาคารอันได้รับความไว้วางใจเกี่ยวกับการเงินจากประชาชน โดยจำเลยเป็นผู้ดำเนินการแทนธนาคารด้วยเหตุนี้จึงถือได้ว่าการกระทำของจำเลยต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 ซึ่งกำหนดโทษไว้หนักกว่าการยักยอกธนาคาร แต่การกระทำของจำเลยตามสำนวนหลังเป็นการกระทำก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา ส่วนสำนวนแรกเกิดขึ้นระหว่างใช้กฎหมายลักษณะอาญา และประมวลกฎหมายอาญา จึงต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 ซึ่งมีโทษเบากว่า
ที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นอีก ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเป็นผู้จัดการธนาคารอันเป็นกิจการที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในเรื่องเกี่ยวกับการเงินมากระทำผิดโดยใช้ความรู้ความเฉลียวฉลาดและความชำนาญในหน้าที่โดยวิธีอันยอกย้อนซ่อนเงื่อนเสียเองนับว่าเป็นการกระทำผิดร้ายแรง อาจกระทบกระเทือนกิจการการธนาคารและเศรษฐกิจของบ้านเมืองได้ ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยมาแล้ว จึงนับว่าเบาไป
ศาลฎีกาพิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 ทั้ง 2 สำนวน ให้จำคุกจำเลยเป็นรายกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวมเป็นโทษจำคุก 5 ปี กับให้จำเลยคืนเงิน 1,122,782 บาท และดอกเบี้ยอีก 34,014 บาท รวมเป็นเงิน 1,156,796 บาท แก่ผู้เสียหาย และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสามศาลและค่าทนายความสามศาลห้าร้อยบาทแทนโจทก์ร่วมด้วย