แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานเข้าไปค้นกุฏิของโจทก์ที่ 1 โดยไม่มีหมายค้นค้นไม่พบของผิดกฎหมาย แล้วคุมตัวโจทก์ทั้งสองไปสถานีตำรวจโดยไม่มีหมายจับ ไม่แจ้งข้อหา โดยโจทก์ทั้งสองไม่เต็มใจไป เมื่อไปถึงสถานีตำรวจก็กำหนดให้นั่งจนถึงเวลา 14 นาฬิกาจึงให้กลับได้ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการจับโดยไม่มีอำนาจจะทำได้ ซึ่งอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ได้ แต่กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 309 เพราะเป็นการที่โจทก์ทั้งสองถูกจับพาไป มิใช่ถูกจำเลยข่มขืนใจให้ไปโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงเกียรติยศ
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าพนักงาน ได้บุกรุกเข้าไปในกุฏิของโจทก์ที่ ๑ โดยไม่มีหมายค้นและหมายจับ อ้างว่ามีของผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง เมื่อไม่พบของผิดกฎหมาย ก็ได้ควบคุมตัวโจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ ซึ่งไปเอาของที่ฝากไว้ที่กุฏิของโจทก์ที่ ๑ ไปสถานีตำรวจโดยข่มขืนใจให้จำยอมให้ค้นและควบคุมตัว แล้วหน่วงเหนี่ยวคุมขังโจทก์ทั้งสอง เป็นเหตุให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และร่วมกันลักทรัพย์เสื้อผ้าของโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ ได้พูดหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองทำนองว่า โจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นพระสงฆ์นอนค้างคืนกับโจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นหญิง ซึ่งไม่เป็นความจริง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๑๕๗, ๓๐๙, ๓๑๐, ๓๒๖, ๓๑๐, ๓๒๖, ๓๔๐, ๓๖๒, ๙๑
ก่อนไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ทั้งสองสำนวนถอนฟ้องจำเลยที่ ๓
ศาลชั้นต้นรวมการไต่สวนมูลฟ้อง และประทับฟ้องเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๓๖๒ ข้อหาอื่นไม่มีมูล ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกาขอให้ประทับฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙, ๓๑๐
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่จะจับผู้ใดนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๗๘ บัญญัติบังคับไว้ว่า จะจับไม่ได้เว้นแต่เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๐ หรือเมื่อพบบุคคลนั้นกำลังพยายามกระทำความผิด หรือพบโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะกระทำความผิดโดยมีเครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิดหรือเมื่อมีเหตุอันสมควรสงสัยว่าผู้นั้นได้กระทำความผิดมาแล้วและจะหลบหนี หรือเมื่อมีผู้ขอให้จับโดยแจ้งว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดและแจ้งด้วยว่าได้ร่วมทุกข์ไว้ตามระเบียบแล้ว เมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่จับด้วยตนเองไม่ต้องมีหมาย แต่ต้องเป็นในกรณีที่อาจออกหมายจับได้ หรือจับได้ตามประมวลกฎหมายนี้ เมื่อจำเลยทั้งห้าซึ่งเข้าค้นกุฏิของโจทก์ที่ ๑ โดยไม่มีหมายค้น ค้นไม่พบของผิดกฎหมายแล้วก็ได้นำเอาเสื้อผ้าของโจทก์ที่ ๒ จำนวน ๑ กล่อง ซึ่งโจทก์ที่ ๒ ฝากโจทก์ที่ ๑ เก็บไว้ในห้องครัว และคุมตัวโจทก์ทั้งสองไปสถานีตำรวจอำเภอคลองหลวงโดยไม่มีหมายจับ โดยไม่แจ้งข้อหาให้ทราบ โดยโจทก์ทั้งสองไม่เต็มใจไป เมื่อถึงสถานีตำรวจก็กำหนดให้นั่ง จนถึงเวลาประมาณ ๑๔ นาฬิกา โจทก์ทั้งสองจึงกลับจากสถานีตำรวจได้ เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งห้าจับโจทก์ทั้งสองโดยฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว เป็นการจับโดยไม่มีอำนาจจะทำได้ อันอาจเป็นความผิดฐานทำให้โจทก์ทั้งสองปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๐ ฟ้องของโจทก์ทั้งสองในข้อหานี้จึงมีมูล สำหรับข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ นั้น เห็นว่า การที่โจทก์ทั้งสองถูกจับไปสถานีตำรวจครั้งนี้ เป็นการไปเพราะถูกจับพาไป ไม่ใช่เป็นการไปเพราะจำเลยทั้งห้าข่มขืนให้ไปโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงเกียรติยศของโจทก์ทั้งสองตามฟ้องแต่ประการใด การกระทำของจำเลยทั้งห้าไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายมาตราดังกล่าว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องของโจทก์ทั้งสองในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๐ ไว้พิจารณาอีกข้อหาหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์