คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2013/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นระบุในคำพิพากษาว่าจำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา และมิได้ระบุว่าได้มีการ ชี้สองสถานและกำหนดหน้าที่นำสืบไว้ ซึ่งตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของ จำเลยที่ 5 ไว้ และได้ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความโต้เถียงกันทุกประเด็น ข้อผิดหลงดังกล่าวเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นระบุรายการแห่งคดีไม่ถูกต้องครบถ้วนเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยให้เหตุผลในประเด็น แห่งคดีให้ครบถ้วนตามประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความโต้แย้งกันไม่ จึงไม่เป็นข้อสาระสำคัญแห่งคดีที่จะทำให้ผลแห่ง คำพิพากษาเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เมื่อความข้อนี้ปรากฏในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ไขใหม่ให้ถูกต้องได้เพราะมิใช่การแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเหตุผลแห่งคำวินิจฉัย และเมื่อศาลอุทธรณ์ได้แก้ไขข้อผิดหลงดังกล่าวให้ถูกต้องแล้ว จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่อีก
เหตุรถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แม้ทั้งสองฝ่ายจะมิได้มีเจตนาหรือจงใจร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อได้ก่อความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 ล้วนมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าวด้วยกันทั้งหมด และเป็นความเสียหายเดียวกัน ผู้ทำละเมิดทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 301 ประกอบ มาตรา 291 จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายทั้งหมดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยคนอื่น ๆ อย่างลูกหนี้ร่วม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชดใช้เงิน ๗๔,๓๗๘.๔๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๖๔,๗๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และที่ ๖ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๗ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๕ ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ร่วมกันชำระเงิน ๖๔,๗๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๓๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๓๗) ไม่เกิน ๙,๖๗๘.๔๐ บาท กับให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๗ ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนนี้ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๕ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๖๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ว่า จำเลยที่ ๕ รับประกันภัย ค้ำจุนรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงจากจำเลยที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกไปชนรถยนต์กระบะซึ่งจำเลยที่ ๖ ขับ แล้วเสียหลักไปชนเสาสัญญาณไฟจราจรของโจทก์ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๕ มีว่ามีเหตุสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่หรือไม่ และจำเลยที่ ๕ จะต้องรับผิดต่อโจทก์อย่าง ลูกหนี้ร่วมหรือไม่
ในปัญหาแรกจำเลยที่ ๕ ฎีกาว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา ๑๔๑ แห่ง ป.วิ.พ. โดยศาลชั้นต้นระบุในคำพิพากษาว่า จำเลยที่ ๕ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาและมิได้ระบุว่าได้มีการชี้สองสถานและกำหนดหน้าที่นำสืบไว้ทั้งที่จำเลยที่ ๕ มิได้ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา และได้มี การชี้สองสถานและกำหนดหน้าที่นำสืบไว้นั้น เห็นว่า ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๑ บัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ให้ทำเป็นหนังสือและต้องกล่าวหรือแสดง
(๑)……..
(๒)……..
(๓) รายการแห่งคดี
(๔) เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยทั้งปวง
(๕) คำวินิจฉัยของศาลในประเด็นแห่งคดี….” ซึ่งตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง รับคำให้การของจำเลยที่ ๕ ไว้และได้ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความโต้เถียงกันทุกประเด็นโดยจำเลยที่ ๕ ไม่เคยโต้แย้งมาก่อนว่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ถูกต้องครบถ้วนหรือควรจะกำหนดเพิ่มเติมในประเด็นข้ออื่นใดอีก จึงฟังได้ว่าศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทตามที่คู่ความโต้เถียงกันครบถ้วนถูกต้องทุกประเด็นแล้ว และตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและของศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทตามประเด็นที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบคำวินิจฉัยถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด เพียงแต่ศาลชั้นต้นระบุรายการแห่งคดีผิดหลงไปว่าจำเลยที่ ๕ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาไม่ตรงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ และมิได้ระบุไว้ในคำพิพากษาด้วยว่าได้มีการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบไว้เท่านั้น ข้อผิดหลงดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ ศาลชั้นต้นระบุรายการแห่งคดีไม่ถูกต้องครบถ้วนเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยให้เหตุผลในประเด็นแห่งคดีให้ครบถ้วนตามประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความโต้แย้งกันไม่ จึงไม่เป็นข้อสาระสำคัญแห่งคดีที่จะทำให้ผลแห่ง คำพิพากษาเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น และเมื่อความข้อนี้ปรากฏในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ย่อมมีอำนาจแก้ไขใหม่ ให้ถูกต้องได้ เพราะการแก้ไขดังกล่าวมิใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเหตุผลแห่งคำวินิจฉัย และ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ได้แก้ไขข้อผิดหลงดังกล่าวให้ถูกต้องแล้ว จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามข้ออ้างของจำเลยที่ ๕ อีก ฎีกาของจำเลยที่ ๕ ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาว่า จำเลยที่ ๕ จะต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วมหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเหตุรถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๖ ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แม้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๖ จะมิได้มีเจตนาหรือจงใจร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๖ ล้วนมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าวด้วยกันทั้งหมด และเป็นความเสียหายเดียวกัน ผู้ทำละเมิดทุกคนจึงต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างลูกหนี้ร่วม เต็มตามจำนวนความเสียหายที่เกิดขึ้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๐๑ ประกอบด้วยมาตรา ๒๙๑ จำเลยที่ ๕ จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายทั้งหมดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยคนอื่น ๆ อย่างลูกหนี้ร่วม ส่วนในระหว่างจำเลยด้วยกันจะต้องรับผิด ในความเสียหายที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด เป็นเรื่องระหว่างจำเลยด้วยกันที่จะต้องว่ากล่าวกันเองต่างหากอีกส่วนหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๕ ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ.

Share