คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงประเด็นเดียวเท่านั้นไม่มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องจำเลยได้สิทธิครอบครองและโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบและไม่ปรากฏว่าจำเลยคัดค้านการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นดังกล่าวจึงถือว่าจำเลยพอใจในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพียงประเด็นเดียวแม้จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้จริงดังที่จำเลยฎีกาก็ถือว่าจำเลยสละประเด็นเรื่องจำเลยได้สิทธิครอบครองและโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบแล้วเท่ากับว่าประเด็นนี้ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นฎีกาจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลล่างทั้งสองต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3242จำเลยได้มาขอปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ชั่วคราวโดยตกลงกันว่าหากโจทก์ต้องการที่ดินคืนเมื่อไร จำเลยยอมรื้อถอนบ้านออกไปเมื่อนั้น ต่อมาโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์ จำเลยไม่ยอมออก ขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายใน 1 เดือน
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยไม่เคยขอโจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาท โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท จึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดิน การขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ของจำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ที่โจทก์ขอให้จำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนออกไปภายใน 1 เดือน นั้นเป็นเรื่องในชั้นบังคับคดี จึงให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งฎีกาจำเลยข้อแรกเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งอ้างเป็นข้อกฎหมายว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่า ตั้งแต่จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากนายสม แล้วจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จำเลยจึงเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์หรือบุคคลอื่นที่มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่ไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทที่โจทก์เอาที่ดินพิพาทของจำเลยไปขอออกโฉนดที่ดินเป็นการกระทำโดยทุจริต การออกโฉนดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้ยกข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงขอให้ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยนั้นเห็นว่า ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีนี้ไว้เพียงประเด็นเดียว ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงว่า”โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3242 แล้วให้สิทธิอาศัยจำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินนั้น ต่อมาโจทก์บอกเลิกสิทธิอาศัยแก่จำเลย แล้วจำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินนั้นหรือไม่”เท่านั้น ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องจำเลยได้สิทธิครอบครองและโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบตามที่จำเลยฎีกา และไม่ปรากฏว่าจำเลยคัดค้านการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นดังกล่าวจึงถือว่า จำเลยพอใจในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพียงประเด็นเดียว ซึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับข้อเท็จจริงแม้จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้จริงดังที่จำเลยฎีกา ก็ถือว่าจำเลยสละประเด็นเรื่องจำเลยได้สิทธิครอบครองและโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบแล้ว เท่ากับว่าไม่ได้ว่ากล่าวประเด็นนี้ในศาลชั้นต้น ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลล่างทั้งสองต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share