คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2776/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บริษัทโจทก์เป็นคนละนิติบุคคลกับบริษัท ต.กรมสรรพกรจำเลยที่ 1 โดย จำเลยที่ 2 ออกคำสั่งอายัดเงินค่าจ้างก่อสร้างทางหลวงที่โจทก์พึงจะได้รับจากกรมทางหลวงอ้างว่าโจทก์คือบริษัทต. ซึ่งค้างชำระค่าภาษีอากรแก่จำเลยที่ 1 โดย อาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองกระทำผิดพลาดไปโดย ไม่ตรวจสอบให้รอบคอบก่อนออกคำสั่งอายัด เป็นการประมาทเลินเล่อโดย ผิดกฎหมาย ทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับเงินจากกรมทางหลวงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ณ ประเทศสาธารณรัฐจีนไต้หวัน เป็นนิติบุคคลซึ่งอธิบดีกรมทะเบียนการค้าได้ออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำเลยที่ 1โดย จำเลยที่ 2 ได้ออกคำสั่งโดย อาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากรมาตรา 12 ให้อายัดเงินค่าจ้างก่อสร้างทางหลวงเป็นเงินจำนวน3,545,220.96 บาท ซึ่งเป็นเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากกรมทางหลวงโดย คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากคำสั่งอายัดดังกล่าวระบุให้อายัดเงินของบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัด ซึ่งเป็นคนละนิติบุคคลต่างหากจากโจทก์ เป็นเหตุให้กรมทางหลวงไม่ชำระค่าจ้างงานแก่โจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยที่ 2 เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 3,545,220.96 บาทนับแต่จำเลยที่ 2 มีคำสั่งอายัดจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 โดย จำเลยที่ 2 ได้ออกคำสั่งอายัดเงินค่าจ้างก่อสร้างทางหลวง จำนวน 3,545,220.96 บาทแต่เงินดังกล่าวไม่ใช่เงินของโจทก์ที่มีสิทธิได้รับจากกรมทางหลวงเพราะเงินดังกล่าวเป็นของบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ จำกัดซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัดมีสิทธิได้รับเงินจากกรมทางหลวงและบริษัทดังกล่าวนี้เป็นผู้ค้างชำระภาษีของกิจการร่วมค้าจำเลยทั้งสองจึงมีคำสั่งอายัดเงินดังกล่าวเพื่อชำระแก่จำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โดย บริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ จำกัด เป็นหนี้ค่าภาษีอากรและตกเป็นภาษีอากรค้าง จำเลยทั้งสองจึงได้มีคำสั่งอายัดทรัพย์ดังกล่าว โดย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากรประกอบกับบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัด ซึ่งมีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวจากกรมทางหลวงเป็นผู้ค้าง ภาษีกิจการร่วมค้าจำเลยทั้งสองจึงได้มีคำสั่งอายัดทรัพย์ดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ค่าภาษีแก่จำเลยที่ 1 ต่อไป การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน 3,545,220.96 บาท แก่โจทก์นับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2530 ถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2530 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดย กำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท คำขออื่นของโจทก์ให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในศาลชั้นต้น โดย กำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท ค่าขึ้นศาลที่โจทก์เสียเกินมา 88,530 บาท ให้คืนโจทก์ไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันและที่ศาลเดินเผชิญสืบฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ที่ประเทศสาธารณรัฐจีนไต้หวันเป็นนิติบุคคลต่างด้าวตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 ลงวันที่24 พฤศจิกายน 2515 ผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของโจทก์ในประเทศไทยคือนายเฉา ชิง หัว ตามหนังสือรับรองของนายทะเบียนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เอกสารหมาย จ.1 และเป็นคนละนิติบุคคลกับบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัด ตามหนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร เอกสารหมาย จ.3 เมื่อวันที่ 2กุมภาพันธ์ 2530 จำเลยที่ 2 ได้ออกคำสั่งอายัดเงินค่าจ้างก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 1124 สายวังชิ้น-เถินตอน 1 และตอน 2 เป็นเงินจำนวน3,546,220.96 บาท ซึ่งกรมทางหลวงจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 โดย อ้างว่าโจทก์คือบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย)จำกัด เมื่อโจทก์ไปขอรับเงินจำนวนดังกล่าวจากกรมทางหลวง กรมทางหลวงไม่อาจจ่ายให้แก่โจทก์ได้ ต่อมาหลังจากโจทก์ฟ้องคดีแล้ว เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2530 จำเลยที่ 1 โดย จำเลยที่ 2 ได้มีคำสั่งถอนการอายัดทรัพย์ดังกล่าว
ปัญหาข้อแรกตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า การที่จำเลยที่ 1โดย จำเลยที่ 2 ได้อาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 มีคำสั่งให้อายัดเงินค่าก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 1124 สายวังชิ้น-เถินตอน 1 และตอน 2 เป็นเงินจำนวน 3,545,220.96 บาท ซึ่งกรมทางหลวงต้องจ่ายแก่โจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์และบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัด เป็นนิติบุคคลต่างหากจากกันและกรมทางหลวงก็ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบว่า โจทก์เป็นคู่สัญญากับกรมทางหลวงในการรับเหมาก่อสร้างทางหลวงสายวังชิ้น-เถินตอน 1 ตอน 2 ไม่ใช่บริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัดตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 นอกจากนี้ทนายความโจทก์ก็มีหนังสือแจ้งจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในต่างประเทศนั้นเป็นคนละบริษัทกับบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัดขอให้จำเลยที่ 2 เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์โดย ด่วน จำเลยทั้งสองคงเพิกเฉย เพิ่งจะมีคำสั่งถอนคำสั่งอายัดเงินจำนวน 3,545,220.96บาท ที่กรมทางหลวงต้องจ่ายให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2530ดังนี้ การอายัดเงินของโจทก์จำนวนดังกล่าวที่โจทก์พึงจะได้รับจากกรมทางหลวง จึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองกระทำผิดพลาดไปโดยไม่ตรวจสอบให้รอบคอบเสียก่อนออกคำสั่งอายัด แม้กรมทางหลวงซึ่งเป็นหน่วยราชการของรัฐเช่นกัน จะทำหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบทันทีที่ได้รับคำสั่งอายัดตามเอกสารหมาย จ.2 ว่า โจทก์เป็นคู่สัญญากับกรมทางหลวงและเป็นนิติบุคคลต่างหากกับบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัด จำเลยที่ 2 ก็ไม่ยอมถอนคำสั่งอายัดและไม่มีหนังสือแจ้งเหตุผลที่ยังต้องอายัดเงินค่าจ้างก่อสร้างของโจทก์เอาไว้ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองได้สอบถามไปยังกรมทางหลวงแล้ว ได้รับการยืนยันจากกรมทางหลวงว่าบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัด มีสิทธิได้รับเงินค่าก่อสร้างทางเพราะเป็นคู่สัญญากับกรมทางหลวง อีกทั้งบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัด เดิมชื่อว่าบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัด ปรากฏหลักฐานตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการตรวจสอบโดยรอบคอบแล้ว ยังถือไม่ได้ว่ากระทำโดยประมาทเลินเล่อแก่โจทก์นั้นขัดกับเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ที่วินิจฉัยมาข้างต้น ทั้งเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2530 จำเลยที่ 2 ก็ได้เพิกถอนคำสั่งอายัดเงินจำนวน 3,545,220.96 บาท ที่กรมทางหลวงต้องจ่ายให้แก่โจทก์หาได้ดำเนินการกับโจทก์ต่อไปตามหลักฐานที่ได้กล่าวอ้างมาไม่ พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยทั้งสองเพิ่งทราบว่าโจทก์กับบริษัทตังเอ็งไออ้อนเวอร์คส์ (ไทย) จำกัด เป็นนิติบุคคลต่างหากจากกันภายหลังจากออกคำสั่งอายัดตามเอกสารหมาย จ.2 แล้ว กรณีถือได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำไปด้วยความประมาทเลินเล่อโดย ผิดกฎหมายทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำต้องใช้สินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”
พิพากษายืน

Share