แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้ครอบครองตึกแถวตามสัญญาเช่าเดิมซึ่งครบกำหนดไปแล้วโจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิใดๆในตึกแถวได้อีกการที่ส.ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกแถวแม้จะฟังว่าจำเลยหลอกลวงส. ให้จำเลยเช่าตึกแถวที่โจทก์ครอบครองอยู่ส.ซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยเท่านั้นจะใช้สิทธิบอกล้างหรือฟ้องให้เพิกถอนได้โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆกับจำเลยจึงจะใช้สิทธิบอกล้างหรือฟ้องเพิกถอนสัญญาเช่าดังกล่าวมิได้หากโจทก์เห็นว่าการที่ส. ทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกแถวเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ก็ชอบที่โจทก์จะฟ้องส. มิใช่ฟ้องจำเลยส่วนการที่จำเลยได้บอกกล่าวให้โจทก์ออกจากตึกแถวโดยอ้างว่าจำเลยได้เป็นผู้เช่าตึกแถวกับส. แล้วก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำการอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้องว่า เดิมโจทก์และนางกี แซ่ตั้งหรือเจริญสุขมารดาโจทก์ได้ร่วมกันออกเงินปลูกสร้างตึกแถว 4 ชั้นครึ่ง 2 คูหาในนามของวัดโสมนัสวิหาร คือตึกแถวเลขที่ 47 เมื่อปลูกสร้างแล้วตึกแถวเป็นกรรมสิทธิ์ของวัด วัดได้ให้โจทก์และพวกเช่าตึกแถวดังกล่าวติดต่อกันเรื่อยมา จนวันที่ 1 มกราคม 2528 โจทก์ตกลงทำสัญญาเช่าใหม่มีกำหนดการเช่า 3 ปี อัตราค่าเช่าเดือนละ 100 บาทเมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์จะขอต่อสัญญาเช่าต่อไปได้ โจทก์ได้เข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ในตึกแถวที่เช่าตลอดมา ต่อมาวันที่1 มกราคม 2531 อันเป็นวันครบกำหนด โจทก์ได้เสนอขอเช่าต่อไปตามที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาและครอบครองตึกแถวตลอดมา ทั้งชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่า ถือว่าโจทก์และวัดได้ทำสัญญาเช่าใหม่โดยอาศัยมูลหนังสือสัญญาเช่าเดิมตลอดมาจนถึงวันฟ้อง ต่อมาประมาณปี 2532 จำเลยซึ่งเป็นพี่สาวของโจทก์ได้มาบอกกล่าวโจทก์หลายครั้งให้โจทก์ออกจากตึกแถว อ้างว่าจำเลยได้เป็นผู้เช่าตึกแถวกับวัดโสมนัสวิหารแล้วตามสัญญาเช่าฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2532โจทก์ได้ติดต่อสอบถามวัด วัดแจ้งว่าจำเลยได้แสดงเอกสารบางอย่างที่เป็นประโยชน์แก่จำเลย และอ้างว่าโจทก์ได้ตกลงยินยอมให้จำเลยเป็นผู้ทำสัญญาเช่ากับวัดได้ ผู้รับมอบอำนาจจากวัดผู้ให้เช่าเชื่อว่าเป็นความจริง จึงทำสัญญาเช่าดังกล่าว โดยมิได้เรียกโจทก์มาสอบถาม ทั้งการทำสัญญาคณะกรรมการมิได้ทราบและตกลงยินยอมด้วย โจทก์ได้แจ้งความจริงให้วัดทราบว่าโจทก์มิได้ตกลงยินยอมให้จำเลยทำสัญญาเช่ากับวัด จำเลยได้นำเอกสารของโจทก์บางอย่างมาโดยพลการและกล่าวอ้างเท็จหลอกลวงผู้รับมอบอำนาจของวัดให้หลงเชื่อว่าโจทก์ให้จำเลยทำสัญญาเช่าวัดได้ซึ่งวัดแจ้งว่าถ้าทราบว่าโจทก์มิได้ตกลงยินยอมก็คงจะไม่ทำสัญญาเช่าให้จำเลยไปการที่วัดทำสัญญาเช่ากับจำเลยโดยหลงเชื่อจำเลยที่นำความเท็จมาอ้างจึงเป็นการสำคัญผิดของวัด โจทก์ได้แจ้งให้วัดทราบหลายครั้งขอทำสัญญาเช่าใหม่แทนการเช่าซึ่งอาศัยสัญญาเดิมดังกล่าวแต่ผู้ให้เช่าได้ให้โจทก์นำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาลเสียก่อนเพื่อให้ศาลได้วินิจฉัยและพิพากษาว่าระหว่างโจทก์และจำเลยผู้ใดจะมีสิทธิการเช่าดีกว่ากัน เพราะขณะนี้โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาเช่าต่างรายซ้อนกันอยู่ เมื่อศาลพิพากษาประการใดว่าผู้ใดมีสิทธิการเช่ายิ่งกว่าผู้ให้เช่าจะทำสัญญาให้ผู้นั้นเป็นผู้เช่าต่อไป โจทก์ถือว่าโจทก์ได้ตึกแถวไว้ในครอบครองโดยอาศัยมูลสัญญาเช่าและใช้ประโยชน์ติดต่อกันเรื่อยมา จำเลยไม่เคยเข้าครอบครองเกี่ยวข้องในตึกแถวที่เช่า โจทก์ย่อมมีสิทธิการเช่าในตึกแถวยิ่งกว่าจำเลยและการที่จำเลยนำข้อความและเอกสารอันเป็นเท็จไปหลอกลวงผู้ให้เช่าว่าโจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยเป็นผู้เช่าได้นั้น จนผู้ให้เช่าหลงเชื่อและทำสัญญาเช่าให้ไปก็เป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญาเช่าที่จำเลยทำไว้กับผู้ให้เช่าจึงเป็นโมฆะ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยถอนจากการเป็นผู้เช่าจากวัดเสียเพื่อโจทก์จะได้ทำสัญญาเช่ากับวัดต่อไป จำเลยไม่ปฏิบัติตาม ขอให้พิพากษาแสดงว่าโจทก์มีสิทธิการเช่าตึกแถวดังกล่าวดีกว่าหรือยิ่งกว่าจำเลยและหนังสือสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับวัดโสมนัสวิหารฉบับลงวันที่9 พฤษภาคม 2532 เป็นโมฆะ ให้จำเลยถอนจากการเป็นผู้เช่าตามสัญญาเช่าดังกล่าว ถ้าจำเลยไม่ถอนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ห้ามจำเลยขัดขวางโจทก์ที่จะทำสัญญาเช่าตึกดังกล่าวกับวัดโสมนัสวิหารและห้ามเกี่ยวข้องในตึกต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์กับวัดมิได้มีสัญญาเช่าต่อกันการที่วัดเอาตึกแถวมาให้จำเลยเช่าหลังจากสิ้นอายุการเช่ากับโจทก์แล้วจึงมิใช่สัญญาเช่าซ้อนในอสังหาริมทรัพย์รายเดียวกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจจะนำคดีมาฟ้องและที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยนำเอาความเท็จไปหลอกลวงผู้รับมอบอำนาจของวัดทำสัญญาให้จำเลยเช่าโดยสำคัญผิดนั้น ความสำคัญผิดเป็นเพียงทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะตราบใดที่ยังไม่บอกล้าง สัญญานั้นยังมีผลสมบูรณ์อยู่ วัดอาจจะไม่บอกล้างโมฆียะกรรมหรืออาจไม่ถือว่าการทำสัญญาเป็นความสำคัญผิดทั้งสิทธิที่จะบอกล้างโมฆียะกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 137 นั้น เป็นอำนาจของวัดแต่ผู้เดียว โจทก์จะเข้ามาใช้สิทธิแทนวัดไม่ได้และไม่มีสิทธิขอให้ศาลพิพากษาว่า สัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับวัดเป็นโมฆะได้ เมื่อสัญญานี้ยังสมบูรณ์อยู่จนถึงวันฟ้องโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ถอนจากการเป็นผู้เช่าได้ถ้าการที่วัดทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกแถวเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์โจทก์ชอบที่จะฟ้องวัดมิใช่มาฟ้องจำเลย จำเลยกับโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน จำเลยทำสัญญาเช่ากับวัดไม่เกี่ยวกับโจทก์โจทก์เป็นคนนอกสัญญาจะสอดเข้ามาใช้สิทธิตามสัญญาบังคับจำเลยไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไป แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองตึกแถวตามสัญญาเช่าเดิมซึ่งครบกำหนดไปแล้ว โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ในตึกแถวพิพาทได้อีก การที่วัดโสมนัสวิหารซึ่งเป็นผู้ให้เช่าทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทแม้จะฟังว่าจำเลยหลอกลวงวัดโสมนัสวิหารให้จำเลยเช่าตึกที่โจทก์ครอบครองอยู่วัดโสมนัสวิหารซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยเท่านั้นที่จะใช้สิทธิบอกล้างหรือฟ้องให้เพิกถอนได้ โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆกับจำเลยจึงจะใช้สิทธิบอกล้างหรือฟ้องเพิกถอนสัญญาเช่าดังกล่าวมิได้หากโจทก์เห็นว่าการที่วัดโสมนัสวิหารทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ซึ่งเคยเป็นคู่สัญญาเช่าเดิมกับวัดโสมนัสวิหาร ก็ชอบที่โจทก์จะฟ้องวัดโสมนัสวิหารมิใช่ฟ้องจำเลย ส่วนการที่จำเลยได้บอกกล่าวให้โจทก์ออกจากตึกแถวพิพาทโดยอ้างว่า จำเลยได้เป็นผู้เช่าตึกแถวกับวัดโสมนัสวิหารแล้ว ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำการอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง