คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2775/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ ว. ได้จัดสรรที่ดินในซอยรัฐขจรออกขายให้แก่บุคคลทั่วไปโดยกันพื้นที่ส่วนที่เป็นซอยรัฐขจรไว้ให้เป็นทางสาธารณะ แม้จะเป็นซอยตัน แต่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในซอยรัฐขจรได้ใช้ทางดังกล่าวสัญจรผ่านซอยหัสดินเสวีออกสู่ถนนสุทธิสารวินิจฉัยถือได้ว่าว.ได้อุทิศทั้งซอยรัฐขจรซึ่งรวมถึงที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยายมาตั้งแต่ปี 2507เมื่อที่พิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) แม้โจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาด ตามคำสั่งศาลโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 32644 โดยซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์และทำที่ดินให้มีสภาพดังเดิมหากจำเลยเพิกเฉยให้โจทก์ดำเนินการเองโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่าย กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ50,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนเสร็จแก่โจทก์และห้ามไม่ให้จำเลยและบุคคลทั่วไปรบกวนการใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่าเมื่อปี 2506 นางวินิจ อรรถวิจิตรจรรยารักษ์หรือวงษ์สกุลได้แสดงเจตนาอุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะย่อมทำให้ที่พิพาทตกเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแม้โจทก์จะซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลก็ไม่ทำให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ขอให้ยกฟ้อง และให้บังคับโจทก์จดทะเบียนแก้ไขในโฉนดที่พิพาทจากชื่อโจทก์เป็นทางสาธารณประโยชน์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เมื่อปี 2518 ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนางวินิจเด็ดขาด ที่พิพาทจึงเป็นทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้ในคดีล้มละลาย การที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาทเมื่อปี 2523 โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์สินที่ถูกยึดในคดีล้มละลาย ถือว่าจำเลยกระทำโดยไม่สุจริตนางวินิจยึดถือครอบครองที่พิพาทตลอดมาเพื่อจะจำหน่ายไม่ใช่เพื่อเป็นทางสาธารณะหรืออุทิศให้เป็นทางสาธารณประโยชน์จำเลยมิได้คัดค้านการยึดที่พิพาทของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถือว่าจำเลยรับโดยปริยายว่าที่พิพาทไม่เป็นทางสาธารณประโยชน์ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ที่พิพาทเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของซอยรัฐขจร ตั้งอยู่ตามปากซอยรัฐขจรซึ่งแยกจากซอยหัสดิเสวีโจทก์ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2534คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ จำเลยมีนางบุปผา สัตตบุศย์ เบิกความได้ความว่านางวินิจ อรรถวิจิตรจรรยารักษ์หรือวงษ์สกุล ได้แบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่ออกเป็นแปลงย่อยเพื่อขายให้แก่บุคคลทั่วไปโดยกันพื้นที่ซอยรัฐขจรไว้เพื่อให้บุคคลที่ซื้อที่ดินติดซอยรัฐขจรได้ใช้เป็นทางเข้าออกผ่านซอยหัสดิเสวีสู่ถนนสุทธิสารวินิจฉัย เดิมซอยรัฐขจรมีสภาพเป็นซอยลูกรังต่อมาจำเลยได้ปรับปรุงเป็นซอยคอนกรีต เห็นว่า นางบุปผาเป็นน้องสาวนางวินิจเจ้าของที่ดินเดิม มีบ้านอยู่ติดซอยหัสดิเสวีห่างจากซอยรัฐขจรประมาณ 20 วา เป็นพยานที่ทราบความเป็นมาของซอยรัฐขจรเป็นอย่างดี และจำเลยยังมีนายสมบัติ เวียงแก้ว นายสุรศักดิ์ กสิชล นางฉันทนา ลรนะบรรจงหรืออ่ำเสงี่ยม นางสาวสุมิตร ทรัพย์สาร และนางสุภาพ นารายนะคามิน เบิกความทำนองเดียวกันว่า เดิมที่ดินทุกแปลงที่ใช้ปลูกบ้านของพยานทุกคนอยู่ติดซอยรัฐขจรเป็นของนางวินิจได้แบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่ออกเป็นแปลงย่อย แล้วขายให้แก่บุคคลทั่วไปเมื่อปี 2507 โดยเว้นพื้นที่ซอยรัฐขจรให้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ เดิมซอยรัฐขจรมีสภาพเป็นซอยลูกรัง จำเลยได้ปรับปรุงเป็นซอยคอนกรีตพยานทุกคนใช้ซอยรัฐขจรในการสัญจรไปมาเป็นเวลานานเกินกว่า 10 ปี พยานจำเลยดังกล่าวต่างอยู่อาศัยในซอยรัฐขจรมาเป็นเวลานานและใช้ซอยรัฐขจรสัญจรเข้าออกเป็นประจำ โดยเฉพาะนายสามารถ ชัยพูล นายช่างโยธา 3 สำนักงานเขตห้วยขวาง ขณะนั้นเบิกความว่า เมื่อปี 2522 ประชาชนที่มีบ้านอยู่ในซอยรัฐขจรมีหนังสือขอร้องให้จำเลยปรับปรุงซอยรัฐขจร เนื่องจากมีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย ล.10 พยานได้สอบปากคำประชาชนผู้ร้องขอไว้ตามสำเนาบันทึกเอกสารหมาย ล.13 แล้วจำเลยได้ปรับปรุงซอยดังกล่าวพยานหลักฐานของจำเลยประกอบด้วยพยานบุคคลซึ่งมีบ้านอยู่ในซอยรัฐขจรเบิกความสอดคล้องกับพยานเอกสารที่จำเลยได้ตรวจสอบก่อนที่จะปรับปรุงซอยรัฐขจร ส่วนโจทก์นำสืบเพียงว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทมาจากการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2534 เท่านั้นพยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ จากพฤติการณ์ที่นางวินิจได้จัดสรรที่ดินในซอยรัฐขจรออกขายให้แก่บุคคลทั่วไปโดยกันพื้นที่ส่วนที่เป็นซอยรัฐขจรไว้ให้เป็นทางสาธารณะแม้จะเป็นซอยตันแต่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในซอยรัฐขจรได้ใช้ทางดังกล่าวสัญจรผ่านซอยหัสดินเสวีออกสู่ถนนสุทธิสารวินิจฉัยถือได้ว่านางวินิจได้อุทิศทั้งซอยรัฐขจรซึ่งรวมถึงที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยายมาตั้งแต่ปี 2507ไม่ใช่เป็นกรณีที่นางวินิจงดใช้สิทธิในที่ดินเนื่องจากถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามที่โจทก์ฎีกา หรือเป็นทางจำเป็นหรือทางภารจำยอมตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาแต่อย่างใดเมื่อที่พิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(2) แม้โจทก์จะซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเพราะที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันมิได้เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 เมื่อโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในเรื่องละเมิดและค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share