แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และปรากฏแจ้งชัดจากแผนที่ดังกล่าวว่าที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นรวมทั้งที่ดินของจำเลยล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ เมื่อพิจารณาประกอบคำฟ้องแล้ว เห็นได้ว่าโจทก์เสนอสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา 2 ประการคือ ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม เพราะมีผู้ใช้เข้าออกสู่ทางสาธารณะนานถึง 50 ปีแล้วประการหนึ่ง และทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพราะที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้อีกประการหนึ่ง ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมาย ศาลซึ่งตรวจคำฟ้องชอบที่จะรับคำฟ้องไว้พิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตกจดที่ดินของจำเลย โดยจำเลยซื้อที่ดินดังกล่าวจากการขายทอดตลาดของศาล ซึ่งเดิมมีบ้านเรือนปลูกอยู่ประมาณ ๑๙ หลังและเป็นของโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ มาก่อน โดยมีทางเดินเข้าออกกว้างรถยนต์แล่นได้มาเป็นเวลา ๕๐ ปีแล้ว ภายหลังจากจำเลยซื้อที่ดินจำเลยได้ปิดกั้นล้อมรั้วจนที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ได้ขอให้จำเลยเปิดทางกว้าง ๓ เมตร เพื่อให้รถยนต์เข้าออกสู่ทางสาธารณะ แต่จำเลยไม่ยอม ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยเปิดทางเส้น ก – ๑๑ จากรั้วที่กั้นมีความกว้าง ๓ เมตร ออกสู่ถนนยมราชทางจุด A ถึง B ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องและให้จำเลยชำระค่าเสียหาย
ชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าทางนั้นตกเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความ แต่จะเห็นได้ว่าโจทก์ใช้ทางดังกล่าวก็เป็นการใช้ในขณะที่โจทก์อาศัยอยู่ในที่ดินแปลงนั้น จึงจะอ้างว่าเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความหาได้ไม่ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เป็นเรื่องที่ไม่อาจบังคับจำเลยได้ จึงยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์และล้อมรั้วที่ดินด้านติดที่ดินของโจทก์ โจทก์ขอให้จำเลยเปิดทาง จำเลยไม่ยอม ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยเปิดทางและเรียกค่าเสียหาย ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับฟ้องของโจทก์ไว้พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป
จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ถือไม่ได้ว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม ทั้งโจทก์มิได้ฟ้องเกี่ยวกับทางจำเป็น จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๒
ระหว่างฎีกา โจทก์ที่ ๓ ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยไม่ค้าน ศาลอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง แผนที่ดังกล่าวปรากฏแจ้งชัดว่า ปัจจุบันที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นรวมทั้งที่ดินของจำเลยล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงถนนยมราช (ทางสาธารณะ) ได้ ดังนั้น เมื่อพิจารณาแผนที่สังเขปท้ายฟ้องประกอบกับคำฟ้อง จึงเห็นได้ว่า โจทก์เสนอสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามา ๒ ประการคือ ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมเพราะมีผู้ใช้เดินและใช้รถยนต์แล่นเข้าออกไปสู่ถนนยมราชนานถึง ๕๐ ปีแล้วประการหนึ่ง และทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพราะที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงถนนยมราชได้อีกประการหนึ่ง ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสองแล้ว ในชั้นนี้เป็นชั้นศาลตรวจคำฟ้องตามวรรคสามของมาตราเดียวกันนี้ จึงสมควรที่ศาลชั้นต้นจะรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา ที่จำเลยอ้างข้อเท็จจริงต่าง ๆ มาในฎีกานั้นในชั้นนี้จะฟังข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้นยังไม่ได้ เพราะยังมิได้มีการพิจารณาสืบพยานหลักฐานกัน
พิพากษายืน