แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องละเมิดบุกรุกที่ดินของโจทก์แปลงอื่น จำเลยต่อสู้ว่าเป็นของจำเลย ในการทำแผนที่พิพาทจำเลยได้นำชี้ล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่งคือแปลงที่พิพาทกันในคดีนี้ว่าเป็นที่ดินของจำเลยด้วย ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่พิพาทกันในคดีนี้ พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทในคดีนี้ด้วย ในชั้นอุทธรณ์จำเลยขอทุเลาการบังคับคดีและศาลอุทธรณ์อนุญาต ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่า การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเลยไปถึงที่ดินที่พิพาทกันในคดีนี้เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น โจทก์จึงมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทในคดีนี้ ดังนี้ จำเลยจะอ้างว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทในคดีนี้ในระหว่างคดีก่อนเป็นระยะเวลาเกิน 1 ปี โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองในที่พิพาทแล้วหาได้ไม่ เพราะการที่จำเลยครอบครองที่พิพาทในระหว่างคดีเรื่องก่อนตั้งแต่วันฟ้องคดีจนถึงวันที่ศาลฎีกาพิพากษานั้น เป็นการครอบครองที่อยู่ในระหว่างที่โจทก์กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ทั้งจำเลยได้ขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์อนุญาต จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท จำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครอง ขอให้ขับไล่
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยและจำเลยครอบครองมาเกิน ๑ ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีแพ่งเรื่องก่อนปรากฏว่า จำเลยทั้งสองนำชี้ที่ดินซึ่งอ้างว่าครอบครองเป็นเจ้าของล้ำเข้าไปในที่พิพาทคดีนี้บางส่วน ปรากฏตามที่ดินหมายเลข ๒ ในแผนที่พิพาทคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๕๘/๒๕๒๑ แต่โจทก์นำชี้ว่าที่ดินหมายเลข ๒ นั้นเป็นของโจทก์ทั้งแปลง ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทเฉพาะด้านตะวันออก ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทส่วนของโจทก์ดังกล่าว ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทในระหว่างคดีเรื่องก่อนตลอดมาตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๒๑ ซึ่งเป็นวันฟ้องคดีจนถึงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๒๓ อันเป็นวันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา จึงเป็นการครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่โจทก์กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ทั้งจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ได้อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีไว้จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๖๗ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทได้ตามมาตรา ๑๓๗๕
พิพากษายืน