แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินที่เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์สำหรับราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกันนั้น เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ.มาตรา 1304 (2) และเป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอจะต้องคอยตรวจตรารักษามิให้ผู้ใดเกียดกันเอาไปเป็นประโยชน์เฉพาะตัวตาม พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ 2457 ฉะนั้นเมื่อปรากฎว่ามีบุคคลบุกรุกเข้ามาทำนาหรือครอบครองเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียกรมการอำเภอย่อมมีอำนาจมีคำสั่งให้ผู้บุกรุกนั้นออกไปได้ ถ้าผู้นั้นฝ่าฝืนก็ย่อมมีความผิดฐานขัดคำสั่งตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 334
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายอำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์ได้มีคำสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินอันเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณะประโยชน์ของแผ่นดิน ซึ่งจำเลยได้บุกรุกเข้าไปทำนาและครอบครองเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเสีย จำเลยได้ทราบคำสั่งแล้วไม่ยอมออกจึงขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๓๓๔
จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่นาของจำเลย ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยผิดตามฟ้องปรับเป็นเงินคนละ ๓๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นที่ทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณะประโยชน์สำหรับให้ราษฎรใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์พาหนะร่วมกันซึ่งทางอำเภอเมืองสุรินทร์ได้ประกาศเป็นที่สงวนหวงห้ามไว้ ที่รายพิพาทจึงเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) จึงอยู่ในหน้าที่ของกรมการอำเภอจะต้องคอยตรวจตรารักษามิให้ผู้ใดเกียดกันเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวตามความในมาตรา ๑๒๒ แห่ง พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ ๒๔๕๗ และประกาศหวงห้ามดังกล่าวนั้น แม้ต่อมาในภายหลังได้มี พ.ร.บ.ว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.๒๔๗๘ มาตรา ๔,๕ บัญญัติว่า ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามก็ดีก็หาลบล้างถึงที่ดินซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๐๔ (๒) อยู่แล้วไม่ คำสั่งของนายอำเภอที่สั่งให้จำเลยออกจากที่พิพาทจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยขัดขืนจึงต้องรับผิดตามฟ้อง พิพากษายืน