แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยใช้ราคารถยนต์ตามฟ้องกับค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ว่า หลังจากมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยติดต่อขอสมุดคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์เพื่อนำไปดำเนินการต่อทะเบียนรถยนต์ โจทก์ไม่ยอมให้ อ้างว่าต้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความก่อน เมื่อถึงกำหนดต่อทะเบียน จำเลยจึงไม่สามารถต่อทะเบียนรถยนต์คันพิพาทได้ ทำให้จำเลยประสบความยุ่งยากในการใช้รถยนต์ การที่โจทก์บอกปัดไม่ยอมส่งมอบคู่มือการจดทะเบีนรถยนต์ให้จำเลยเป็นการแสดงให้เห็นถึงการที่โจทก์ทำการฉ้อฉลให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้ออ้างในอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวนี้ไม่มีข้ออ้างใดที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์หลอกลวงหรือปิดบังข้อเท็จจริงใดเพื่อให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะทำให้เห็นว่าสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเกิดโดยการฉ้อฉลของโจทก์ อันเป็นเหตุที่จะอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 138 วรรคสอง แห่ง ป.วิ.พ. ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมาจึงเป็นการไม่ชอบ และจำเลยไม่อาจจะฎีกาต่อมาได้ตามนัยของมาตรา 249 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าซื้อ และจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบรถยนต์ตามฟ้องคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากส่งคืนไม่ได้ก็ให้ชดใช้ราคา ๑๑๗,๔๐๐ บาท แก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหาย ๖๐,๕๐๐ บาท แก่โจทก์ และค่าเสียหายเดือนละ ๕,๕๕๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยได้ส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคารถแก่โจทก์แล้วเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่าไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยทั้งสองยอมใช้ราคารถยนต์ตามฟ้อง ๑๑๗,๔๐๐ บาท กับค่าเสียหายอีก ๒๐,๑๐๐ บาท รวมเป็นเงิน๑๓๗,๕๐๐ บาท ให้แก่โจทก์โดยผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ละเดือน รวม ๑๘ งวด งวดที่ ๑ ถึงที่ ๑๗ชำระงวดละ ๕,๕๕๐ บาท งวดที่ ๑๘ ชำระที่เหลือทั้งหมด เริ่มชำระงวดแรกในวันที่ ๖ สิงหาคม๒๕๓๓ งวดถัดไปชำระทุกวันที่ ๖ ของเดือนถัดไปทุกเดือนจนกว่าจะครบ ผิดนัดงวดใดถือว่าผิดนัดทุกงวด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์ฉ้อฉล ขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ และสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านั้น เว้นแต่เหตุต่อไปนี้ (๑) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล…”จำเลยอุทธรณ์ว่า หลังจากมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยติดต่อขอสมุดคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ เพื่อนำไปดำเนินการต่อทะเบียนรถยนต์ต่อเจ้าพนักงานทะเบียนยานพาหนะโจทก์ไม่ยอมให้ อ้างว่าต้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความก่อน เมื่อถึงกำหนดต่อทะเบียนจำเลยจึงไม่สามารถต่อทะเบียนรถยนต์คันพิพาทได้ ทำให้จำเลยประสบความยุ่งยากในการใช้รถยนต์ การที่โจทก์บอกปัดไม่ยอมส่งมอบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ให้จำเลยเป็นการแสดงให้เห็นถึงการที่โจทก์ทำการฉ้อฉลให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้ออ้างในอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวนี้ไม่มีข้ออ้างใดที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์หลอกลวงหรือปิดบังข้อเท็จจริงใดเพื่อให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะทำให้เห็นว่าสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเกิดโดยการฉ้อฉลของโจทก์ อันเป็นเหตุที่จะอุทธรณ์ได้ตามบทกฎหมายที่ได้กล่าวข้างต้นศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยตามที่จำเลยอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ และจำเลยไม่อาจจะฎีกาต่อมาได้ตามนัยของมาตรา ๒๔๙ วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และยกฎีกาจำเลยทั้งสอง