คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2768/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงเป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยได้บรรยายคำฟ้องไว้ด้วยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงประทุษร้ายผู้เสียหายกระสุนถูกบริเวณศีรษะ 2 แผล ได้รับอันตรายสาหัสตามรายงานแพทย์ท้ายฟ้อง พอถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำประทุษร้ายและสภาพความบาดเจ็บของผู้เสียหายไว้แล้วแสดงถึงเจตนาประสงค์ให้ศาลลงโทษ แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนตีทำร้ายผู้เสียหายก็มิใช่ข้อแตกต่างในสาระสำคัญเพราะเป็นเพียงข้อแตกต่างในวิธีการประทุษร้าย อาวุธและตำแหน่งที่ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บก็ตรงตามฟ้อง และจำเลยมิได้หลงต่อสู้จึงลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัสได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,91, 288, 371 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่งและวรรคสอง,72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เป็นการกระทำ 2 กรรมให้ลงโทษเรียงกระทง ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 72 วรรคหนึ่งซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุสมควร เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนกับข้อนำสืบของจำเลยในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน และ 4 เดือนตามลำดับ รวมจำคุก 12 เดือน ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) อีกกระทงหนึ่งให้จำคุกมีกำหนด3 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้แล้วเป็นจำคุก 2 ปี12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2534 เวลา 20 นาฬิกาผู้เสียหายกับพวกไปเที่ยวงานบ้านจำเลย ผู้เสียหายเกิดวิวาทและชกต่อยกับจำเลย จำเลยใช้อาวุธปืนตีศีรษะผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตามบันทึกรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยในข้อกฎหมายว่าที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหาย แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยใช้อาวุธปืนตีทำร้ายผู้เสียหาย ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคแรก บัญญัติว่า “ห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง” ส่วนวรรคสองบัญญัติว่า “ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่งที่กล่าวในฟ้องให้ศาลยกฟ้องคดีนั้นเว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้” เมื่อพิจารณาถึงคำฟ้อง โจทก์ได้บรรยายคำฟ้องไว้ด้วยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนยิงประทุษร้ายผู้เสียหายกระสุนปืนถูกผู้เสียหายบริเวณศีรษะจำนวน 2 แผล ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสและทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา จนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ซึ่งระบุรายละเอียดของบาดแผลไว้พอถือได้ว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำประทุษร้ายและสภาพความบาดเจ็บของผู้เสียหายไว้แล้ว แสดงถึงเจตนาประสงค์ให้ศาลพิพากษาลงโทษแม้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนตีทำร้ายผู้เสียหายแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า แต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญ เพราะเป็นเพียงข้อแตกต่างในวิธีการประทุษร้ายของจำเลยอาวุธที่จำเลยใช้ทำร้ายและตำแหน่งที่ผู้เสียหายรับบาดเจ็บก็ตรงตามฟ้อง และจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share